นาย Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ได้มีการถกเถียงกันเล็กน้อยกับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ของบิทคอยน์ผ่านทางทวิตเตอร์เมื่อวานนี้ โดยเขาชี้ว่า Bitcoin นั้นถูกออกแบบมาให้เป็นเงิน P2P (เงินของประชาชน เพื่อประชาชน) มากกว่าที่จะเป็นทองคำดิจิทัล
โดยคู่กรณีของนาย Vitalik นั้นก็คือ นาย Zack Voell นักพัฒนาบิทคอยน์จาก Blockstream ผู้เชื่อว่า Bitcoin คือและจะเป็น ทองคำดิจิทัลตลอดไป แต่นาย Vitalik กลับไม่เห็นเช่นนั้น โดยเขาชี้ว่า “นับตั้งแต่ผมเข้ามาในวงการตั้งแต่ปี 2011 Bitcoin ก็เป็นเงินในรูปแบบ P2P มาโดยตลอด และการเป็นทองคำดิจิทัลถือเป็นส่วนเสริมเท่านั้น”
โดยนาย Vitalik ยังอ้างว่า การที่บิทคอยน์ถูกสร้างมาเพื่อใช้เป็นเงินนั้น ถือเป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของมัน เห็นได้จากชื่อ White Paper ของ Bitcoin ที่นาย Satoshi Nakamoto เขียนออกมาในปี 2008 ที่มีชื่อว่า Bitcoin: A Peer-to-Peer Electronic Cash System นั่นเอง
แล้วยังไง? ทำไมถึงต้องเถียงกันว่า Bitcoin จะเป็นเงินหรือเป็นทอง
เมื่อเราพิจารณาดูให้ดีแล้วการเป็นเงินในรูปแบบ P2P กับทองในรูปแบบดิจิทัลนั้นแตกต่างกันอย่างมาก
ทองคำ แม้จะหายากและมีมูลค่าในตัวมันเอง แต่กลับไม่ได้ถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันมากนัก เนื่องจากปัญหาความไม่สะดวกในการขนย้าย และสามารถแบ่งได้เป็นหน่วยย่อยได้ในถึงเพียงแคระดับหนึ่งเท่านั้น จึงทำให้มันไม่เหมาะกับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันซักเท่าไหร่
ส่วนเงินในรูปแบบ P2P นั้นเป็นเงินที่สามารถใช้โอนไปมาระหว่างผู้ใช้ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วโดยที่ไม่จำเป็นจะต้องมีตัวกลางมาคอยควมคุมแต่อย่างใด
โดยการถกเถียงกันในรูปแบบนี้ เคยก่อให้เกิดการแยกตัวออกมาจาก Bitcoin มาเป็น Bitcoin Cash (BCH) ที่ผู้พัฒนาบางส่วนต้องการจะเพิ่มขนาดของบล็อกให้จุธุรกรรมได้มากขึ้นและลดค่าธรรมเนียมลงนั่นเอง
ปัญหาเรื่องค่าธรรมเนียมของ Bitcoin ยังไม่ได้รับการแก้ไข
ในช่วงพีคของตลาดเมื่อปลายปี 2017 ที่ผ่านมา ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมของ Bitcoin นั้นพุ่งสูงถึงกว่า 50 ดอลลาร์ต่อการทำธุรกรรมหนึ่งครั้ง แม้ในปัจจุบันค่าธรรมเนียมจะลดลงมาเหลือเพียง 40 เซนต์ แต่บางเวลาที่ระบบมีความแออัด ค่าธรรมเนียมก็ยังมีการปรับตัวพุ่งสูงอยู่เรื่อย ๆ และเมื่อเทียบกับคริปโตฯอื่น ๆ อย่างเช่น ETH และ XRP แล้ว ค่าธรรมเนียมของ Bitcoin ยังถือว่าแพงกว่า 6 – 6,000 เท่าเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนับสนุนให้ Bitcoin เป็นทองคำดิจิทัลนั้นเห็นว่าค่าธรรมเนียมที่สูงนี้ไม่เป็นปัญหาซักเท่าไหร่ เพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงความปลอดภัย และทองคำนั้นจะใช้ในการเป็นตัวรักษามูลค่า (Store-of-Value) เท่านั้น จึงไม่ต้องการที่จะโอนไปมาบ่อย ๆ เหมือนเงินนั่นเอง
หรือว่าเราควรจะรับ Bitcoin อย่างที่มันเป็น และหันไปใช้เงินคริปโตฯสกุลอื่นในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันกันแน่? แต่นั่นมันจะไม่ขัดกับจุดประสงค์ที่นาย Satoshi วางไว้หรืออย่างไร? ก็คงขึ้นอยู่กับผู้ใช้ส่วนใหญ่แล้วว่าจะต้องการให้อนาคตของ Bitcoin จะเลือกเดินไปในทางไหนกันแน่
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง: 2 เหตุผลว่าทำไมจำนวน Wallet ที่มีอย่างน้อย 1 BTC ถึงเพิ่มขึ้นไม่หยุด