Uber และ PayPal สองบริษัทสตาร์ทอัพชั้นนำระดับโลกเผยยังไม่คิดนำเงินสดของบริษัทไปลงทุนในบิทคอยน์ แต่ยอมรับว่ามีการพิจารณาที่จะขยายรับบริการชำระเงินด้วยคริปโตเคอร์เรนซีมากขึ้น
รายงานครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่ John Rainey ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ของ PayPal เปิดเผยในการพบปะกับวันพบนักลงทุนครั้งล่าสุดว่าบริษัทไม่มีนโยบายที่จะจัดสรรเงินสดไปลงทุนในบิทคอยน์ โดยในวันเดียวกันนี้ ทาง Dara Khosrowshahi ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของ Uber ก็กล่าวเช่นกันว่า บริษัทจะไม่เดินตามรอย Tesla
แนวคิดดังกล่าวสะท้อนให้เห็นจุดยืนของบริษัทที่ยังต้องการรอดูสถานการณ์ของบิทคอยน์และสกุลเงินคริปโตเคอร์เรนซีต่อไปอีกสักระยะ โดยในทความเมื่อไม่นานมานี้ของทีมบรรณาธิการของ SuperCryptoNews ระบุชัดว่า การที่องค์การจะสามารถจัดสรรเงินทุนในคลังให้กับบิทคอยน์ได้ ก็จำเป็นต้องให้บุคคลที่อยู่ในตำแหน่งระดับสูงขององค์กรซึ่งมีอิทธิพลต่อการกำกับดูแลและบริหารบริษัทอย่าง CEO เข้ามาเป็นแกนนำผลักดันหลัก
เหตุผลเพราะการจัดสรรเงินสดไปลงทุนในบิทคอยน์ให้เป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ในงบดุลต้องใช้ความกล้าวิสัยทัศน์และการมองการณ์ไกล แต่น่าเสียดายที่สำหรับบอร์ดบริหารของบริษัทส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับเงินสดมากกว่า
แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องผิดที่จะไม่เดินตามรอย Tesla และ MicroStrategy ที่ทุ่มลงทุนในบิทคอยน์ เพราะทุกๆ บริษัทมีอำนาจหน้าที่และกลยุทธ์ในการเพิ่มมูลค่าของผู้ถือหุ้นให้มากที่สุดเท่าที่จะมาได้อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่สนใจลงทุนก็ไม่ได้หมายความว่าบริษัททั้งสองแห่งจะไม่เห็นความสำคัญของคริปโตเคอร์เรนซี โดยในมุมมองของ Uber และ Paypal คริปโตเคอร์เรนซีจะกลายเป็นหนึ่งในช่องทางการชำระเงินหลักในไม่ช้า ซึ่ง Uber ระบุว่า อาจยอมรับคริปโตเป็นวิธีการชำระเงิน ขณะที่ PayPal มุ่งหวังที่จะสนับสนุน CBDC และขยายการให้บริการคริปโตของตนไปทั่วโลก ขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่า PayPal จะชื่นชอบ stablecoin ให้เป็นสกุลเงินดิจิทัลเพื่อการชำระเงินมากกว่าบิทคอยน์ที่มีความผันผวนสูง
ไม่ว่าการลงทุนในบิทคอยน์จะเป็นเรื่องรองหรือไม่ แต่ข้อกังวลหลักก็คือความพร้อมอย่างกว้างขวางในการชำระสินค้าและบริการด้วยสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งดูเหมือนว่าเวลาแต่ละวันที่ผ่านไป จะทำให้แนวคิดการใช้เงินดิจิทัลในวงกว้างเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
