การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯกำลังจะมีขึ้นในวันอังคารที่ 3 ของเดือนพฤศจิกายนนี้เป็นที่จับตามองของประชาคมโลก เพราะไม่ว่าใครจะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกย่อมจะมีส่วนกำหนดทิศทางของทั้งเศรษฐกิจและความมั่นคงของโลกไปอีกหลายปีนับแต่นี้ไป
เมื่อมองจากข้อมูลทางสถิติแล้ว Forbes เผยว่า ตลาดหุ้นมักจะทำผลงานได้ดีกว่าเมื่อประธานาธิบดีคนเดิมได้รับการเลือกตั้งอีกสมัยเมื่อเทียบกับการได้คนใหม่ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ และไม่สามารถปฎิเสธได้เลยว่าการเลือกตั้งนั้นมีผลกระทบโดยตรงต่อตลาดหุ้นและการลงทุน
นี่จึงก่อให้เกิดคำถามกับเหล่านักลงทุนคริปโตเคอเรนซี่ว่าการเลือกตั้งจะมีผลกับอุตสาหกรรมยุคใหม่นี้อย่างไร โดยเฉพาะกับเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin ที่ไม่ขึ้นตรงกับใครหรือมีอำนาจรัฐใดมาควบคุมไว้ได้
แม้ Bitcoin จะเคยผ่านช่วงการเลือกตั้งสหรัฐฯมาแล้วสองครั้งในปี 2012 และ 2016 แต่หลายคนก็เห็นว่าในขณะนั้นขนาดตลาดของเงินดิจิทัลนี้นั้นเล็กเกินไปกว่าที่จะได้รับผลกระทบใด ๆ ที่มีต่อโลกของการลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม ในปี 2020 นี้ที่มีผู้เล่นระดับสถาบันและบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาเป็นจำนวนมาก ผลกระทบย่อมรุนแรงและมีผลเกี่ยวพันธ์กันมากขึ้น
แล้วในครั้งนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นหากประธานาธิบดี Donald Trump ผู้ที่ไม่ค่อยจะชื่นชอบ Bitcoin เท่าไรนักได้อยู่ในตำแหน่งต่อไป และสถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างไรหากอดีตรองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตอย่าง Joe Biden ได้เก้าอี้ผู้นำไป?
ความเห็นของชุมชนคริปโตเคอเรนซี่นั้นแตกเป็นหลายทาง แต่นาย Max Kaiser พิธีกรและนักวิเคราะห์ชื่อดังชี้ว่า ต่อให้ใครจะชนะการเลือกตั้ง Bitcoin ก็จะยังเดินหน้าต่อไป เพียงแต่บนเส้นทางที่แตกต่างกันเท่านั้น
Trump ชนะเลือกตั้งเป็นสมัยที่สอง
Image Courtesy: Tucson
มุมมองของประธานาธิบดี Donald Trump ต่อ Bitcoin นั้นมั่นคงไม่มีเปลี่ยน เมื่อปี 2019 เขาได้ทวีตว่า “ผมไม่ชอบเจ้า Bitcoin หรือคริปโตเคอเรนซี่อื่น ๆ นี่เลย พวกมันไม่ใช่เงิน ไม่มีอะไรมาหนุนหลัง แถมยังผันผวนสุด ๆ และสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเหล่านี้มักจะถูกใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมายอย่างการค้ายาเสพติดและอื่น ๆ”
นอกจากนี้ อดีตที่ปรึกษาของ Trump นาย John Bolton ก็ได้อ้างว่าประธานาธิบดีเคยสั่งให้ รมต.กระทรวงการคลัง “เล่นงาน Bitcoin” อีกด้วย นี่จึงเป็นหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่านาย Donald Trump ไม่มีทางเปลี่ยนใจกลางคันและหันกลับมาสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ได้ง่าย ๆ
แต่ Max Kaiser ชี้ว่า Trump เป็นคนที่เข้าใจระบบทุนนิยมเป็นอย่างดี ประกอบกับการที่เขาเป็นคนชอบการแข่งขันและเอาชนะ การที่อิหร่านพยายามจะก้าวขึ้นมาเป็นฮับแห่งใหม่ในการขุด Bitcoin จะทำให้ทรัมป์ไม่สามารถยอมได้ จนบางทีเราอาจจะได้เห็นการแข่งขันแย่งชิง Hash Rate หรือกำลังการขุดระหว่างสหรัฐฯกับประเทศคู่อริอย่างอิหร่านและจีนเหมือนในช่วงสงครามเย็นที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีแข่งกับโซเวียดก็เป็นได้
ถ้าหาก Biden ชนะหละ?
Image Courtesy: The Boston Globe
ตัวแทนจากฝั่งเดโมแครต Joe Biden เคยกล่าวว่าเขาไม่มี Bitcoin ในครอบครองและยังไม่มีความเห็นเกี่ยวกับอุตสาหกรรมคริปโตเคอเรนซี่ ทำให้การคาดเดาว่าหาก Biden ได้รับตำแหน่งจะส่งผลดีหรือเสียต่อ Bitcoin ในระยะยาวกันแน่
Max Kaiser ชี้ว่านโยบายที่ค่อนข้างเน้นไปทางสังคมนิยม (Socialist) ของ Biden นั้นจะทำให้นักลงทุนที่ต้องการหลีกหนีจากนโยบายเหล่านั้นหันไปหา Bitcoin ที่รัฐไม่สามารถควบคุมได้มากขึ้น
นโยบายสังคมนิยมกล่าวคือ ทางภาครัฐจะเข้ามามีส่วนในการควบคุมกำกับดูแลการแข่งขันและการทำธุรกิจมากขึ้น อันจะมีผลต่อบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งที่รุ่งเรืองขึ้นมาได้เพราะการทำธุรกิจแบบเสรีอย่างทุนนิยมสุดโต่ง เมื่อมองในลักษณะนี้แล้วนั้น ภาพรวมจะเปลี่ยนจากการที่คนทั่วไปพยายามหนีจากเงื้อมมือของรัฐมาเป็นบริษัทมูลค่าหลายหมื่นล้านเหล่านี้แทน และในช่วงเดือนตุลาคมเราคงได้เห็นตัวอย่างแล้วว่าการที่บริษัทเพียงไม่กี่แห่งเข้าซื้อ Bitcoin นั้นส่งผลต่อราคาของมันอย่างไร ลองจินตนาการว่าบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ทุกแห่งทำแบบเดียวกันดูสิ
ไม่ว่าใครจะชนะ Bitcoin ก็จะเดินหน้าต่อไป
นาย Kaiser เชื่อมั่นว่า Bitcoin นั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะให้การเลือกตั้งมาควบคุมทิศทางของมันได้ มันเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีความข้องเกี่ยวกับสินทรัพย์ยุคเก่าอย่าง ทองคำ พันธบัตร หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ อสังหาริมทรัพย์ และขั้วอำนาจของรัฐบาล ไม่ว่าจะในสหรัฐฯหรือประเทศต่าง ๆ ในโลก
“Bitcoin ก็คือ Bitcoin” นาย Kaiser กล่าว
แม้ว่าในปัจจุบันนี้ Bitcoin ยังคงได้รับผลกระทบจากการขึ้นลงตลาดหุ้นและท่าทีการยอมรับของรัฐบาลในแต่ละประเทศอยู่ แต่เราสามารถเห็นได้ว่าในตั้งแต่ช่วงปี 2020 มานี้ Bitcoin เติบโตและแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งค่า Correlation ระหว่างทองคำและตลาดหุ้นก็เริ่มแยกตัวออกจากกัน ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าสินทรัพย์ดิจิทัลตัวนี้กำลังมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และวันหนึ่งมันจะกลายเป็นสินทรัพย์หลักที่โลกต้องให้การยอมรับได้อย่างแน่นอน
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง: ANT Group ปฐมบทความรุ่งเรืองของฟินเทคและสกุลเงินดิจิทัล