คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าการระบาดไปทั่วโลกของไวรัส COVID-19 นั้นส่งผลกระทบอย่างหนักต่อทั้งภาคเศรษฐกิจจริงและภาคการลงทุน แม้ทางรัฐบาลประเทศต่าง ๆ จะพยายามอย่างหนักในการอัดฉีดเงินเข้าไปสู่ระบบเพื่อช่วยพยุงสภาวะเศรษฐกิจไว้ แต่ก็ไม่มีใครแน่ใจว่ามันจะได้ผลไปอีกนานเท่าไหร่
มหาเศรษฐีและนักลงทุนชื่อดัง นาย Tim Draper ให้ความเห็นระหว่างการสัมภาษณ์กับ InMind ว่า เขาไม่ค่อยจะเชื่อว่าวิธีการพิมพ์เงินออกมาอย่างไม่จำกัดของรัฐบาลสหรัฐฯจะได้ผล เพราะมันต้องใช้เวลานานอาจนับปีกว่าเม็ดเงินเหล่านั้นจะไหลไปทั่วถึงทุกภาคส่วน
“พวกเขา(รัฐบาลและธนาคารกลาง) พยายามจะปั้มเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่กำลังดำดิ่งจากการระบาดของ COVID-19 แต่ทุกครั้งที่มีการพิมพ์เงินออกมาจากอากาศ เงินเหล่านั้นก็จะมีมูลค่าลดน้อยลงไปทุกที ๆ”
โดยนาย Draper ชี้ว่า ในไม่ช้า ผู้คนจะเริ่มหันมาสนใจบิทคอยน์จากจำนวนที่มีอยู่อย่างจำกัดของมัน ไม่เหมือนกับเงินที่ออกโดยรัฐที่ถูกเสกมาเรื่อย ๆ โดยเหล่าธนาคารกลาง
เขายังยกตัวอย่างให้ฟังอีกว่า “มันจะเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจมากเมื่อผู้คนหันมาคิดว่า ทำไมเราไม่ใช้บิทคอยน์กันแทนหละ? เพราะเราต่างรู้ว่ามันมีอยู่แค่ 21 ล้านเหรียญ และไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาพิมพ์มันออกมาเพิ่มจนมูลค่าของมันหดหายไป ทั้งมันยังสามารถนำไปใช้ได้ทันทีโดยไม่มีพรหมแดนและข้อจำกัดอะไรให้วุ่นวายอีกด้วย”
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ถกเถียงกันในเรื่องของไวรัส COVID-19 นั้นจะมาหยุดโลกาภิวัฒน์ที่ทั้งโลกกำลังจะหลอมรวมกันเป็นหนึ่งหรือไม่? นาย Draper เห็นว่า จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เป็นระบบเปิดอย่าง บิทคอยน์, Smart Contract, และ AI จะส่งผลให้รัฐบาลทั่วโลกต่างต้องแข่งขันกัน เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ให้ก้าวหน้ากว่าชาติอื่น และจะทำการดึงดูดประชากรและแรงงานฝีมือเข้ามาร่วมพัฒนาให้มันดีขึ้น อันจะส่งผลให้ผู้คนมีสิทธิและทางเลือกที่จะโยกย้ายไปอยู่ยังประเทศที่ถูกใจได้ง่ายกว่าเดิม โดยเขาได้ทิ้งท้ายไว้ว่า
“ในอนาคต มันไม่สำคัญว่าคุณจะมาจากอเมริกา จีน รัสเซีย อินเดีย หรือยุโรป โลกจะเข้าสู่ยุคที่ทุกอย่างเป็นระบบเปิด และเขตแดนจะมีความสำคัญน้อยลงเรื่อย ๆ”
ฟังแล้วดูเหมือนว่านาย Tim Draper จะเป็นผู้ที่มองโลกในแง่ดี (จนอาจจะมากเกินไป) แต่แนวโน้มของผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เป็นไปในทาง Sharing Economy และมีความ Open Source มากขึ้นอาจส่งผลให้โลกของเราในอนาคตสดใสกว่าที่หลายคนคิดก็เป็นได้
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง: แม้บริษัทหลอกลวงส่วนใหญ่จะล้มหายไป แต่อนาคตบล็อกเชนของจีนก็ไม่ได้สดใสอย่างที่หวัง?