ความกังวลในเรื่องของเศรษฐกิจจะกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยหลังหลายประเทศในยุโรปเริ่มที่จะกลับมาประกาศ Lockdown อีกครั้งหลังจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องรวมถึงความผันผวนในช่วงการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำและน้ำมัน
ท่ามกลางความผันผวน บิทคอยน์ได้กลายเป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนเป็นบวกแซงหน้าสินทรัพย์อื่น ๆ ขณะที่เหล่า Altcoin แม้จะมีการปรับตัวลดลง แต่ภาพรวมยังถือว่าทำได้ดีกว่าตลาดหุ้นหลักอย่าง Nasdaq และ S&P 500 ที่มีชะตากรรมไม่สู้ดีนักในสัปดาห์ที่ผ่าน ๆ มา
ดัชนี SCN30 Index ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงจาก 255.01 จุดมาอยู่ที่ 248.31 จุด หรือลดลง -2.69% แนวโน้มยังคงเคลื่อนไหวแบบไซด์เวย์ ท่ามกลางการปรับฐานของ Altcoin ที่ยังไม่จบลง
สัปดาห์ที่ผ่านมา บิทคอยน์ ให้ผลตอบแทน +5.26% ทองคำให้ผลตอบแทน -0.55% น้ำมันดิบ WTI -4.05% ดัชนี Nasdaq -4.16% และดัชนี S&P 500 -3.02% เท่ากับว่าบิทคอยน์ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่โดดเด่นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง
โทเคนสาย DeFi ยังคงดึงดัชนี SCN30 Index ไว้จากการที่หลายโทเคนลงมาทำนิวโลว์ แต่ยังดีที่เหรียญมาร์เก็ตแคปใหญ่อย่าง Ethereum และ Litecoin ยังสามารถประคองดัชนีเอาไว้ได้ ในช่วงหลังจากนี้หากตลาด DeFi ยังไม่ฟื้นตัว อาจต้องเลือกลงทุนเหรียญขนาดใหญ่ไว้ก่อน
วิเคราะห์กราฟเทคนิค Ripple
Ripple หรือ XRP กำลังทำทรง Price Pattern แบบสามเหลี่ยมบีบตัว หากราคาลงมาแนวรับเทรนด์ไลน์ด้านล่าง (เส้นสีเหลือง) เป็นโอกาสซื้อเก็งกำไรได้ในระยะสั้น แต่หากรับไม่อยู่ต้องตัดขาดทุนทันทีเพราะแนวโน้มจะพลิกกลายเป็นขาลง
หากรับอยู่จะมีแนวต้านแรกที่สามารถขายทำกำไรได้ที่ 0.265 ดอลลาร์ หากผ่านไปได้ค่อยลุ้นว่าจะ Breakout เทรนด์ไลน์ขากดขึ้นไปได้หรือไม่โดยมีแนวต้านอยู่ที่ 0.312 ดอลลาร์
ในเชิงพื้นฐาน XRP ยังไม่มีปัจจัยบวกที่จะช่วยสนับสนุนราคา กลยุทธ์การเทรดจึงเน้นเก็งกำไรระยะสั้นไปก่อนจนกว่าจะสามารถ Breakout เลือกทางขาขึ้นอย่างชัดเจนจึงจะเลือกถือได้ระยะยาว
อ่านเพิ่มเติม: ผู้บริหาร Ripple เผยเหตุผลว่าทำไม XRP จึงยังไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร
วิเคราะห์กราฟเทคนิค Chainlink
Chainlink หรือ LINK ระยะสั้นใช้กรอบราคาสีน้ำเงินเป็นแนวรับและแนวต้าน หากราคาลงมาแนวรับที่ประมาณ 10 ดอลลาร์ สามารถที่จะเข้าซื้อเก็งกำไรได้ แต่หากรับไม่อยู่ให้รอซื้ออีกครั้งที่แนวรับเส้นเทรนด์ไลน์ (เส้นสีเหลือง) โดยแนวรับสำคัญไม่ควรจะหลุดระดับ 7 ดอลลลาร์ เพราะแนวโน้มจะเป็นขาลงชัดเจน
LINK กำลังทำทรง Price Pattern ทรงสามเหลี่ยมบีบตัวเช่นกัน แนวโน้มระยะกลางเริ่มที่จะแสดงให้เห็นว่ามีโอกาสจะเป็นขาขึ้น โดยมีแนวต้านสำคัญอยู่ที่ระดับ 13 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิม
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง : ANT Group ปฐมบทความรุ่งเรืองของฟินเทคและสกุลเงินดิจิทัล