PlanB นักวิเคราะห์และเจ้าของทฤษฎี Stock-to-Flow (S2F) ชี้ให้เห็นว่า นโยบายอัดฉีดสภาพคล่อง หรือ QE จำนวน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ของสหรัฐฯในปี 2013 แปรผันตรงกับราคาของบิทคอยน์ ส่งผลให้บิทคอยน์เข้าสู่ตลาดกระทิงครั้งใหญ่ ราคาเริ่มที่ 13 ดอลลาร์ในช่วงต้นปี 2013 และขึ้นไปทำจุดสูงสุดในเดือนมีนาคมปีเดียวกันที่ 1,240 ดอลลาร์ต่อหนึ่งบิทคอยน์ หรือมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 9,100% เลยทีเดียว
โมเดล S2F ของ PlanB
เขาได้ตั้งคำถามเดียวกันกับการทำ QE4 ในปี 2020 นี้ ที่ Fed หรือธนาคารกลางสหรัฐฯได้พิมพ์เงินอัดฉีดเข้าสู่ตลาดหุ้นถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในเดือนมีนาคมเพียงเดือนเดียว จะส่งผลอย่างไรต่อราคาของบิทคอยน์ และจะมีสภาพคล่องส่วนเกินจะไหลเข้ามาสู่ตลาดคริปโตเคอเรนซี่อย่างที่เคยเป็นเช่นในปี 2013 อีกครั้งหรือไม่?
โดยนาย Holger Zschaepitz นักเศรษฐศาสตร์ชาวเยอรมันได้โพสข้อมูลเกี่ยวงบดุลของ Fed ว่าปัจจุบันบวมขึ้นเกิน 6 ล้านล้านดอลลาร์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้มีมูลค่าถึง 30% ของ GDP สหรัฐฯ
นอกจากนี้ยังมีผู้ใช้ทวิตเตอร์คนหนึ่งชี้ให้เห็นว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ไม่น่าจะหยุดแค่ที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์ เขาจะเห็นว่าการเสกเงินจำนวนมากขนาดนั้นออกมาจากอากาศมันง่ายดายขนาดไหน จนติดใจและทำต่อไปเรื่อย ๆ ทุกวิถีทางเพื่อพยายามพยุงเศรษฐกิจของสหรัฐฯเอาไว้ โดยนาย PlanB ก็ได้มาคอมเมนท์เสริมว่า ทรัมป์อาจจะทุ่มสุดตัวเหมือนมูกาเบเลยก็เป็นได้
นายโรเบิร์ต มูกาเบ เป็นอดีตผู้นำของประเทศซิมบับเว ที่เคยทำการพิมพ์เองออกมาใช้จ่ายและชดใช้หนี้จำนวนมหาศาล จนทำให้ประเทศซิมบับเวต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรง (Hyperinflation) โดยอัตราเงินเฟ้อของซิมบับเวในปี 2008 อยู่ที่ 89,000,000,000,000,000,000,000% เลยทีเดียว
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง: อินดิเคเตอร์รุ่นเก๋า “กราฟสายรุ้งแห่ง Reddit” ชี้บิทคอยน์จัดโปรไฟไหม้ ควรรีบโกย!