ตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลถูกเทขายอย่างหนักเมื่อคืนที่ผ่านมาจากความวิตกกังวลการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดในสหรัฐฯที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง
ดัชนี S&P500 ร่วงลงกว่า 2.59% ดัชนี Dow Jones ร่วงลง 2.72% และ NASDAQ ร่วงลง 2.19% เช่นเดียวกับตลาดหุ้นยุโรปที่ติดลบเฉลี่ย 3%
ราคาทองคำร่วงลงจากที่ขึ้นไปแตะระดับใกล้เคียง 1,800 ดอลลาร์จากความคาดหวังในฐานะ Safe Haven ก่อนจะถูกเทขายลงมาอยู่ที่ระดับ 1,770 ดอลลาร์
ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในภาพรวมติดลบลงประมาณ 3% ราคาบิทคอยน์ร่วงลงหลุดระดับ 9,300 ดอลลาร์ ขณะที่ดัชนี SCN30 Index ปรับตัวลดลง 4.98 จุด มาอยู่ที่ 153.92 เหรียญมาร์เกตแคปสิบอันดับแรกถูกเทขายทั้งหมด
ขณะที่สินทรัพย์อื่นถูกเทขาย ดัชนี Dollar Index กลับปรับตัวแข็งขึ้น 0.55% แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์ว่ายังเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง แม้จะถูกพิมพ์ออกมาเป็นจำนวนมหาศาลจากการทำคิวอีก็ตาม
แล้วเมื่อไรจะถึงคิวของบิทคอยน์ในฐานะสกุลเงินใหม่ของโลกที่ทุกคนสามารถฝากความหวังได้เสียที?
มาร์เกตแคปบิทคอยน์อาจแตะ 1ล้านล้านดอลลาร์ด้วยนักลงทุนสถาบัน
Messari ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลได้ประเมินว่าหากนักลงทุนสถาบันซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมการลงทุนแบ่งเงินเพียง 1% ของพอร์ตรวมมาลงทุนในบิทคอยน์อาจดันให้มาร์เกตแคปรวมพุ่งแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ได้และมีราคาแตะ 50,000 ดอลลาร์
คาดว่าเม็ดเงินจากนักลงทุนสถาบันซึ่งประกอบไปด้วยเฮดจ์ฟันด์ กองทุนบำนาญ กองทุนรวม และกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ หากนำเม็ดเงิน 1% ของกองทุนพวกนี้มารวมกันจะมีมูลค่า 480,000 ล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์จาก Messari กล่าวอีกว่าหากบิทคอยน์จะพิสูจน์ตัวเองในฐานะ Store Of Value ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเงินจากรัฐบาลใดๆ จำเป็นที่จะต้องรับเงินลงทุนบางส่วนจากนักลงทุนสถาบันเข้ามาให้ได้
ทั้งนี้มีความเห็นที่หลากหลายว่านักลงทุนสถาบันรายใดที่จะเป็นกลุ่มแรกที่แบ่งเงินเข้ามาลงทุนในบิทคอยน์ ฝั่ง Messari มองว่าน่าจะเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ แต่บ้างก็ว่าอาจเป็นกองทุนบำนาญของสหรัฐฯที่มีเม็ดเงิน 28 ล้านล้านดอลลาร์
รวมถึงบางความเห็นมองว่านักลงทุนสถาบันน่าจะนำเงินไปลงทุนใน Securities Token ซึ่งมีสินทรัพย์จริงหนุนหลังมากกว่าจะไปลงทุนในบิทคอยน์
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง : ทำความรู้จักตราสารอนุพันธ์ก่อนจะเกิดโศกนาฏกรรมเช่นเดียวกับนักเทรด Robinhood