ตอนนี้ได้เกิดเกิดข้อคำถามทั้งจากภาครัฐและเอกชนที่หลากหลายมุมมองต่อเงินสกุล Libra ของ Facebook จึงอยากจะนำเสนอภาคต่อของ Libra เพื่อให้เห็นความคืบหน้าของโครงการที่กำลังเป็นที่ฮือฮาทั่วโลกกัน
ทุนสำรอง (Libra Reserve)
Libra เป็นเงินดิจิตอล ที่มีการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน มาใช้เพื่อให้บริการโอนเงินและชำระเงินระหว่างกัน ซึ่งจะมีความรวดเร็วและมีค่าบริการต่ำสำหรับคนทั่วโลก โดยเฉพาะคนที่ไม่สามารถเข้าถึงการรับบริการทางการเงินจากธนาคาร
Libra ยังเป็นคริปโทฯ ที่มีมูลค่าตามสินทรัพย์ที่อ้างอิง เรียกว่า “stable coin” ซึ่งจะอิงกับตะกร้าเงินฝากที่เป็นสกุลเงินหลักและหลักทรัพย์ระยะสั้นที่ออกโดยรัฐบาลและสำรองไว้เต็มจำนวนเพื่อลดความผันผวน ซึ่งได้ประกาศล่าสุดเมื่อเดือนกันยายน ประกอบด้วย 5 สกุลเงินหลัก ได้แก่ ดอลล่าร์สหรัฐ ยูโร เยน ปอนด์ และสิงคโปร์ดอลล่าร์ โดยครึ่งหนึ่งของทุนสำรองจะเป็นดอลลาร์สหรัฐ
คำถามจากภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลต่อ Libra
ภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลในต่างประเทศส่วนใหญ่ที่กำลังจับตาดู Libra ได้แสดงท่าทีเชิงตั้งคำถามและขอให้ Facebook ชะลอโครงการไปก่อน เนื่องจากมองว่า Libra อาจส่งผลกระทบต่อนโยบายทางการเงินของแต่ละประเทศและเสถียรภาพทางการเงินโลก
และยังอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินให้แก่การก่อการร้าย รวมทั้งมีข้อสงสัยในแง่ความปลอดภัยของการใช้งานและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่ง Facebook เองก็ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว
คนส่วนใหญ่จึงยังคลางแคลงใจว่า Facebook จะสามารถปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ลิบราไม่ให้รั่วไหลออกไปได้หรือไม่ ขณะที่บริษัท “Calibra” ที่ Facebook ตั้งขึ้นมาเพื่อให้บริการกระเป๋าเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (wallet) โดยสามารถรับส่งเงินผ่านแอปพลิเคชันอย่าง WhatsApp และ Facebook Messenger ก็ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของการขอความยินยอม
หาก Calibra จะแบ่งปันข้อมูลทางการเงินของผู้ใช้งานให้แก่ Facebook ในขณะเดียวกัน ความเชื่อมโยงระหว่าง Facebook กับบริษัทพันธมิตร ยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นอิสระและความสัมพันธ์ระหว่าง Facebook กับLibra
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง : Libra อาจเปิดตัวช้ากว่ากำหนดเพราะติดข้อกฎหมาย
Facebook ยังคงเดินหน้า แม้มีพันธมิตรถอนตัว
Libra Association มีแผนที่จะยื่นขอใบอนุญาตระบบการชำระเงิน (system payment license) จาก Financial Market Supervisory Authority (FINMA) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ได้ออกแนวปฏิบัติไปเมื่อปลายเดือนสิงหาคมเกี่ยวกับระบบการชำระเงินบนบล็อกเชน มาตรการป้องกันการฟอกเงิน การยืนยันตัวตนของลูกค้า (Know-Your-Customers: KYC) และระบบติดตามความเสี่ยง โดย FINMA มีความเห็นว่า Libra จะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และมาตรฐานขั้นสูงสุดด้านการป้องกันการฟอกเงิน
อุปสรรคที่ Libra เผชิญยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เมื่อ PayPal หนึ่งในพันธมิตรเดิมได้เปิดเผยเมื่อต้นเดือนตุลาคมว่าจะถอนตัวจากการเป็นสมาชิกของ Libra Association ตามด้วย Visa, Mastercard, eBay, Stripe และ Mercado Pago ที่ต่างก็เพิ่งออกมาประกาศถอนตัวเช่นกัน
อย่างไรก็ดี Facebook จะต้องหาทางออกจากปัญหาที่รุมเร้าให้เร็วที่สุด เพราะจะต้องเข้าพบเจ้าหน้าที่ทางการของสหรัฐอีกสองครั้งในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า Facebook จะสามารถปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางการในแต่ละประเทศ ตลอดจนการเปิดตัว Libra ที่จะพลิกโฉมวงการการเงินได้ทันในปี 2563 ตามที่วางแผนไว้หรือไม่
บทความโดย นางสาวจอมขวัญ คงสกุล ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต. ทีมโฆษก และฝ่ายฟินเทค
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : หาก Libra ไม่ได้ไปต่อ ตลาดเงินดิจิตอลจะเป็นอย่างไร?