มีรายงานจาก Wall Street Journal ว่า JPMorgan ธนาคารใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯได้เปิดรับเว็บเทรดเงินดิจิทัลอย่าง Coinbase และ Gemini เข้าเป็นลูกค้าตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ทาง JPMorgan ได้เปิดรับลูกค้าจากอุตสาหกรรมคริปโตเคอเรนซี่หลังจากแสดงท่าทีต่อต้านมาโดยตลอด
ทั้งนี้ JPMorgan จะไม่ได้ทำธุรกรรมเกี่ยวกับบิทคอยน์และเงินดิจิทัลอื่น ๆ โดยตรง แต่จะให้บริการด้านการจัดการกระแสเงินสดและธุรกรรมผ่านสกุลเงินดอลลาร์สำหรับลูกค้าที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ธนาคารฯจะดูแลการฝากและถอนเงินของลูกค้าเข้าไปยังเว็บเทรดทั้งสองผ่านเครือข่ายการหักบัญชีอัตโนมัติ
แหล่งข่าวยังได้กล่าวอีกว่า ทั้ง Coinbase และ Gemini ได้ถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น สะท้อนให้เห็นว่า ก่อนหน้านี้ทางธนาคารยังมีความไม่แน่นอนใจนักในการรับลูกค้าที่มาจากธุรกิจคริปโตเคอเรนซี่
อย่างไรก็ตามทั้ง Coinbase และ Gemini ต่างเป็น Exchange ที่ได้รับการรับรองจากกฎหมายทั้งคู่ โดยในเดือนเมษายนที่ผ่านมา Gemini ได้รับใบอนุญาตด้านหลักทรัพย์ (SOC) หลังผ่านการรับรองจากบริษัทตรวจสอบบัญชีรายใหญ่ Deloitte ขณะที่ Coinbase ได้รับใบอนุญาต SOC ประเภท 1 และ 2 จากบริษัทตรวจสอบบัญชี Grant Thornton รวมถึงได้จดทะเบียนเป็นบริษัทให้บริการทางการเงินจาก Financial Crimes Enforcement Network ส่วน Gemini ได้รับใบรับรองจากหน่วยงานดูแลทางด้านการเงินของนิวยอร์คตั้งแต่ปี 2015
ซีอีโอของ JPMorgan เคยได้ชื่อว่าเกลียดบิทคอยน์เข้าใส้
ใครที่ได้ติดตาม Jamie Dimon ประธานและซีอีโอของ JPMorgan มาก่อน อาจจะจำได้ว่าเขาเป็นผู้ที่ต่อต้านและตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อบิทคอยน์และคริปโตมาตลอด การที่ทางธนาคารฯเปิดรับลูกค้าจากธุรกิจคริปโตจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าประหลาดใจไม่น้อย
โดยก่อนหน้านี้เขากล่าวหาว่า “บิทคอยน์นั้นเป็นฟองสบู่ที่รอวันแตกและจะจบไม่สวยแน่นอน” นอกจากนี้เขายังเคยขู่ว่า หากพนักงานคนใดของ JPMorgan เข้าไปซื้อขายหรือยุ่งเกี่ยวกับบิทคอยน์จะต้องโดนไล่ออกสถานเดียว
อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ค่อยชอบคริปโตเคอเรนซี่มากนักแต่ธนาคารฯก็มีมุมมองเชิงบวกต่อเทคโนโลยีบล็อกเชนพอสมควร โดยมีแผนจะนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้กับเหรียญของตัวเอง “JPM Coin” และล่าสุดธนาคารฯยังได้พิจารณาที่จะควบรวมกิจการหน่วยงานด้านบล็อกเชนภายในของธนาคารฯกับบริษัท ConsenSys หนึ่งในผู้พัฒนาบล็อกเชน Ethereum ที่มีชื่อเสียงอีกด้วย
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : บิทคอยน์-ลิบรา-หยวนดิจิทัล ใครจะได้ปกครองระบบการเงินโลกใหม่