กระแสของการทำ Yield Farming ในโลกของ DeFi เติบโตอย่างรวดเร็ว แรงดึงดูดคงหนีไม่พ้นการจ่ายผลตอบแทนที่สูงลิ่ว หากเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในตอนนี้ที่ต่ำแทบจะเหลือ 0%
ผู้จุดชนวนให้กระแสมันแรงขึ้นเริ่มจาก Uniswap ที่เปิด Liquidity Pool เป็นรายแรกๆ ต่อมาจึงเกิด Sushiswap ซึ่ง Fork มาจาก Uniswap แท้ๆ (ล่าสุดย้ายออกไปแล้ว) แต่ชูผลตอบแทนสูงกว่าจึงเรียกนักลงทุนให้มาร่วมได้อย่างรวดเร็ว
แม้แต่ Binance และ crypto.com ยังเข้ามาแจมในตลาด Yield Farming ปฎิเสธไม่ได้ว่าเป็นกระแสที่ร้อนแรงอย่างมาก หลาย Exchange ต้องนำ Governance Token ของโปรเจกต์เหล่านี้มาลิสต์ในกระดาน
แต่กรณีที่เกิดขึ้นกับ Sushiswap ที่ Chef Nomi ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นเจ้าของโปรเจกต์ได้เทขายโทเคน Sushi ที่เทรดอยู่ในกระดาน FTX ออกจนเกลี้ยง จนทำให้ราคาจากที่เคยไปถึงจุดสูงสุดที่ 12 ดอลลาร์ ร่วงลงอย่างแรงกว่า 90% เลยทีเดียว
นี่เป็นการเผยให้เห็นถึงความเสี่ยงของการเทรด Governance Tokenของโปรเจกต์ Liquidity Pool ผ่านตลาดรองหรือ Exchange เพราะผู้ที่ทำ Yield Farming จะได้รับรีวอร์ดเป็น Governance Token ผ่านตลาดแรกไปแล้วและพร้อมที่จะเทขายออกมาได้ทุกราคา
การที่นักทำฟาร์มมีต้นทุนจากการที่ต้องฝากสินทรัพย์ดิจิทัลไว้บน Protocol เป็นตัวเร่งให้พวกเขาต้องขายโทเคนที่ได้มาเป็น Reward เพื่อคืนทุนให้เร็วที่สุด เท่ากับว่าผู้ที่เทรด Governance Tokenบนตลาดรองเป็นผู้เสียเปรียบทันทีจากการที่มีต้นทุนของราคาที่สูงกว่า
สำหรับนักเทรดจะต้องศึกษาความเสี่ยงนี้ไว้ให้ดี อย่ารอจนปาร์ตี้จบแล้วถึงออกเพราะผู้คนจะแห่กันออกจนไปไม่ถึงประตู
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : Yield Farming ในโลก DeFi นวัตรกรรมการเงินหรือแชร์ลูกโซ่ยุคดิจิทัล??
แนวโน้มทางเทคนิค BTC
BTC เคลื่อนไหวแบบไซด์เวย์กรอบแคบมาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแนวรับ 9,900 ดอลลาร์ ยังทำหน้าที่ได้ดี แต่ยังไม่สามารถผ่านแนวต้านที่ 10,500 ดอลลาร์ ได้ สัปดาห์นี้จึงยังจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบราคาดังกล่าวไปก่อน
กลยุทธ์การลงทุน สามารถซื้อขายแบบ Channel Trade ไปก่อนเพื่อรอราคาเลือกทางให้ชัด โดยหากราคาหลุดจากระดับ 9,900 ดอลลาร์ จะต้องตัดขาดทุนทันทีหรือเปลี่ยนเป็นสถานะ Short เพราะแนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นขาลงอย่างชัดเจน
แต่ถ้า Breakout เหนือ 10,500 ไปได้จะถือว่ากลับมาเป็นขาขึ้นในระยะสั้นสามารถ Follow Buy ตามได้ โดยมีเป้าหมายระยะกลางอยู่ที่ 12,500 ดอลลาร์
บทความที่เกี่ยวข้อง : ราคาหุ้น TESLA และดัชนี S&P 500 มีแนวโน้มไปทางเดียวกันกับราคาบิทคอยน์
แนวโน้มทางเทคนิค ETH
การที่ราคาไม่สามารถฟื้นตัวเหนือราคา 385 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิมและระดับที่อยู่เหนือเส้น EMA9,25 และ 50 ได้ทำให้แนวโน้มระยะสั้นของ ETH กลายเป็นขาลง โดยแนวรับที่ลึกที่สุดอาจลงได้ถึง 300 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นเส้นเทรนด์ไลน์ (เส้นเขียว) ที่ประคองภาพของ ETH ให้เป็นขาขึ้นในระยะยาว
กลยุทธ์การลงทุน สามารถรอให้ราคายืนเหนือ 385 ดอลลาร์และ EMA ทั้งสามเส้นให้ได้ก่อนค่อย Follow Buy หรือจะรอให้ราคาสามารถทรงตัวไม่หลุด 300 ดอลลาร์แล้วค่อยซื้อแบบ Buy On Dip ได้เช่นกัน
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : มูลค่าสินทรัพย์บน DeFi พุ่งขึ้น 1.4 พันล้านดอลลาร์ หลังราคาฟื้นตัวสวยงาม