FED หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับนโยบายด้านเงินเฟ้อครั้งใหญ่ โดยเตรียมที่จะขยายเพดานเงินเฟ้อเป้าหมายให้สูงกว่าระดับปัจจุบันที่ 2% และจะไม่เร่งรีบในการที่จะขึ้นดอกเบี้ยตามเงินเฟ้อ
นโยบายของ FED ที่ประกาศออกมาเป็นการส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังอยู่ในระดับต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิดไปอีกนาน เป็นไปได้ว่าอาจจะยาวนานกว่า 5 ปี
การคงดอกเบี้ยระยะต่ำนอกจากทำให้สภาพคล่องในตลาดการเงินยังคงล้นระบบต่อไป ยังส่งผลดีต่อราคาสินทรัพย์อื่นๆไม่ว่าจะตลาดหุ้น ทองคำและอาจรวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิทคอยน์ด้วยเช่นกัน
หากมองไปที่แนวโน้มของดัชนี Dollar Index ในภาพระยะยาว จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 1985 เป็นต้นมา ซึ่งสหรัฐฯได้ประกาศข้อตกลง Plaza Accord กับชาติคู่ค้าอย่างญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเยอรมันตะวันตก ในการลดค่าของเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินประเทศเหล่านี้ลงเพื่อลดข้อเสียเปรียบในการค้าขายลง
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาค่าเงินดอลลาร์ก็อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องจากจุดสูงสุด แม้ในช่วงที่บิทคอยน์เกิดขึ้นในปี 2008 จะเป็นช่วงการฟื้นตัวของค่าเงินดอลลาร์ แต่ราคาบิทคอยน์ในภาพใหญ่ก็ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
หากแนวโน้มของเงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลงจากนโยบายดอกเบี้ยต่ำซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทำคิวอีหลังจากนี้ไป ยิ่งน่าจะส่งผลดีต่อราคาบิทคอยน์ในระยะยาวซึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นสกุลเงินใหม่ที่จะมาทดแทนเงินดอลลาร์ได้บางส่วน
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : FED มีแนวโน้มจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ใกล้ระดับ 0% ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา 5 ปี
แนวโน้มทางเทคนิค BTC
สำหรับแฟนคลับของ BTC สัปดาห์ที่ผ่านมาดูจะค่อนข้างอึดอัดไม่น้อยกับแนวโน้มที่ยังไร้ทิศทางขณะที่ Altcoin โดยเฉพาะสาย DeFI ที่วอลลุ่มซื้อขายคึกคัก กรอบการเคลื่อนไหวในระยะกลางยังคงมีแนวรับที่ 10,500 ดอลลาร์และแนวต้าน 12,500 ดอลลาร์
ขณะที่เมื่อใช้เครื่องมืออย่าง Bolinger Band จะได้กรอบการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างกว้าง อาจต้องรอให้กรอบราคาเริ่มบีบตัวแคบลงก่อนถึงจะเห็นสัญญาณของการเลือกทางที่ชัดเจน
บทความที่เกี่ยวข้อง : ข้อมูลใหม่ชี้ นักลงทุนบิทคอยน์เกือบทั้งหมดมีกำไร ส่งผลให้การเทขายอ่อนแรงลง
แนวโน้มทางเทคนิค ETH
หลังขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่ 450 ดอลลาร์ ETH อยู่ในช่วงของการพักตัว โดยมีแนวรับอยู่ที่ EMA25 ที่ระดับ 390 ดอลลาร์ หากรับไม่อยู่ยังมีเส้น EMA50 ที่ 358 ดอลลาร์ หากไม่หลุดลงไปจากนี้จะยังสามารถคงแนวโน้มขาขึ้นต่อไปได้
แนวต้านแรกในระยะสั้นคือแนว Fibonacci 161.8 ที่ระดับ 412 ดอลลาร์ หากสามารถผ่านไปได้ แนวต้านต่อไปคือแนว Fibonacci 261.8 ที่ระดับ 612 ดอลลาร์ ซึ่งสามารถคาดหวังผลกำไรได้ในระดับ 55%
ขณะที่ดัชนี SCN30 Index สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาสามารถฟื้นตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุด 237.39 จุดมาอยู่ที่ 262.95 จุด ภาพรวมไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันดับใน Ranking มากนัก โดย Chainlink ยังคงมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนดัชนี
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : ทำความรู้จัก Yearn Finance โทเคนสาย DeFi ที่ราคาแพงกว่าบิทคอยน์!!