Don’t Fight The Fed พูดง่าย ๆ คืออย่าได้คิดที่จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับธนาคารกลางสหรัฐฯซึ่งถือเป็นองค์กรทางการเงินที่มีอำนาจมากที่สุดของโลก การตัดสินใจของ FED จะกำหนดทิศทางของตลาดการเงินทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยหรือราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ
การตัดสินใจของผู้ทรงอำนาจทางการเงินของโลกที่เป็นกรรมการอยู่ใน FED ได้ผลักดันให้เศรษฐกิจสหรัฐฯและตลาดหุ้นทั่วโลกผ่านวิกฤตมาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่ฟองสบู่ดอทคอมจนถึงวิกฤติซับไพร์ม
และล่าสุดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติอย่างวิกฤติโควิด-19 ดูเหมือนว่า FED กำลังจะเป็นผู้ชนะอีกครั้ง เพราะตลาดหุ้นสหรัฐฯโดยเฉพาะ NASDAQ ปรับตัวขึ้นชนิดที่สวนทางกับตัวเลขเศรษฐกิจและจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกอย่างสิ้นเชิงและดัชนี Dow Jones และ S&P500 กำลังฟื้นตัวตามมาติดๆ
การฟื้นตัวนี้เกิดขึ้นโดยจำนวนเม็ดเงินมหาศาลที่ FED พิมพ์ออกมาเพื่อเข้าซื้อสินทรัพย์หรือที่เรียกว่า QE ในช่วงเวลาประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมามีมูลค่าเทียบเท่ากับการทำ QE สามครั้งก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นในช่วงตั้งแต่ปี 2009-2014
ฟังให้ดีๆ!! ภายใต้วงเงินเดียวกัน การทำ QE แบบไม่จำกัดรอบนี้กินระยะเวลาเพียงแค่สองเดือนเท่านั้น ต่างจากรอบที่แล้วซึ่งกินเวลาถึงห้าปีเต็ม
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : การมาของ “หยวนดิจิทัล-ลิบรา” เกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตคนไทย เราควรเรียนรู้อะไรจากมัน
ไม่เพียงแต่ตลาดหุ้น แต่อัตราการว่างงานก็เริ่มเห็นทิศทางลดลงอย่างเห็นได้ชัดรวมถึงเงินเฟ้อที่เริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
แต่ผลจากการอัดฉีดเงินในครั้งนี้อาจย้อนกลับมาทำลาย FED รวมถึงสกุลเงินดอลลาร์ในอนาคตเพราะการลดขนาด Balance Sheet ของรัฐบาลสหรัฐฯที่เกิดจากการทำ QE เมื่อ 10 ปีที่แล้วยังไม่แฟ่บลงไป แต่ก็มีหนี้ใหม่เข้ามาอีกแล้วและไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกกี่ปีที่จะลดขนาดฟองสบู่มหึมานี้ลงได้
เร็วๆนี้ Jerome Powel ผู้ว่าการ FED เพิ่งให้สัมภาษณ์ไปว่าเขาไม่กลัวหนี้เสียเพราะถ้าหากเกิดขึ้น FED สามารถพิมพ์เงินเข้าไปแก้ไขหนี้เสียเองได้!! แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของ FED ในการใช้เครื่องพิมพ์เงินอย่างมาก
Don’t Fight The Fed คำพูดนี้อาจจะยังจริงเสมอ วิกฤติรอบนี้ FED อาจจะยังเป็นพระเอกกอบกู้วิกฤติอีกครั้ง แต่ผลที่ตามมาคือเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่อาจจะไร้ค่าไม่ต่างอะไรกับเศษกระดาษและเงินเฟ้อที่พุ่งสูง
เมื่อถึงเวลานั้น บิทคอยน์ อาจจะเข้ามากู้สถานการณ์ในฐานะสกุลเงินใหม่ของโลกที่เข้ามาเป็นทางเลือกแทนการใช้เงินดอลลาร์หรืออาจจะเป็นหยวนดิจิทัลของประเทศจีน ว่าที่มหาอำนาจรายใหม่ หรืออาจจะเป็นลิบรา สกุลเงินของชาวอินเทอร์เนตทั่วโลกก็เป็นได้
อ่านเพิ่มเติม : เงินดิจิทัลมีส่วนเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างไร
วิเคราะห์ทางกราฟเทคนิค BTC
BTC ทดสอบแนวต้านสำคัญ 10,000 ดอลลาร์หมาหลายครั้งแต่ยังไม่สำเร็จและทำ Lower Low ทุกครั้ง อย่างไรก็ตามแนวรับตามเส้นเทรนด์ไลน์ยังสามารถประคองราคาไว้อยู่ได้
เป็นไปได้ว่าช่วงต้นถึงกลางสัปดาห์นี้ BTC อาจย่อตัวลงมาทดสอบแนวรับก่อนจะทำทรง Price Pattern เป็นทรงสามเหลี่ยมที่บีบแคบเข้ามาเรื่อยๆนั่นหมายความว่าภายในเร็วๆนี้หรือสัปดาห์หน้า BTC จะเลือกทางที่ชัดเจนแล้วว่าจะขึ้นหรือลง
หรืออาจจะเคลื่อนไหวไซด์เวย์ต่อไปตามกรอบราคา Bolinger Band (เส้นสีเขียว) ซึ่งสามารถใช้เป็นจุดซื้อได้หากราคาหลุดเส้นเทรนด์ไลน์ลงมา เช่นเดียวกับเส้น EMA89
แนวรับสำคัญของ BTC ยังคงอยู่ที่ 8,000 ดอลลาร์ หากหลุดไปจากนี้จะทำให้แนวโน้มไซด์เวย์เปลี่ยนเป็นขาลงได้
อ่านเพิ่มเติม : บิทคอยน์-ลิบรา-หยวนดิจิทัล ใครจะได้ปกครองระบบการเงินโลกใหม่