นักขุด (Miners) ถือเป็นส่วนสำคัญในการดูแลระบบของบิทคอยน์ โดยจะทำหน้าที่เป็นผู้สร้างและบรรจุธุรกรรมลงในบล็อกก่อนจะนำไปต่อบนบล็อกเชน ซึ่งก่อนหน้านี้มีเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อนักขุดทั่วโลกนั่นคือเหตุการณ์ Bitcoin Halving ที่ทำให้รางวัลในการสร้างบล็อกใหม่ของนักขุดลดลงจาก 12.5 BTC ต่อหนึ่งบล็อก ลดลงเหลือเพีย 6.25 BTC ต่อหนึ่งบล็อกในปัจจุบัน
ในช่วงก่อนการเกิดเหตุการณ์ Halving นั้น เหล่านักขุดได้ทำงานกันอย่างหนักเพื่อช่วงชิงจังหวะสุดท้ายที่จะได้รางวัล 12.5 BTC ต่อหนึ่งบล็อก ส่งผลให้กำลังประมวลผล (Hashrate) บนเน็ตเวิร์คสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ไปแตะที่ 137 EH/s โดยการที่ Hashrate สูงขึ้นนี้ ส่งผลให้มีการผลิตบล็อกใหม่ออกมาเร็วเกินกว่าที่ควรจะเป็น (ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 10 นาทีต่อ 1 บล็อก) ระบบของบิทคอยน์จึงมีการปรับสมดุล โดยปรับค่าความยากในการขุด (Difficulty Rate) ทุก ๆ 2016 บล็อก หรือประมาณ 2 อาทิตย์ เพื่อป้องกันไม่ให้มีบล็อกใหม่เกิดขึ้นเร็วหรือช้าจนเกินไป
ข้อมูล: Bitinfocharts
แต่ภายในไม่กี่วันหลัง Halving กำลังประมวลผลก็ลดลงมาอย่างรวดเร็วเนื่องมาจากนักขุดบางส่วน รวมถึงอุปกรณ์การขุดรุ่นเก่าไม่สามารถทำกำไรได้อีกต่อไป จนจำเป็นจะต้องถอดปลั๊กออกจากระบบและยอมแพ้ไป โดยกำลังประมวลผลในปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 85 EH/s เท่านั้น ลดลงมากว่า 38% เลยทีเดียว ส่งผลให้การสร้างบล็อกใหม่ออกมาช้าลงและความแออัดในเน็ตเวิร์คสูงขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
อ่านเพิ่มเติม: ค่าธรรมเนียมการโอนบิทคอยน์พุ่งกว่า 800% ภายในเดือนเดียว
ข้อมูล: Glassnode
ล่าสุดวันนี้ค่าความยากในการขุดได้ปรับตัวลดลงมาแล้ว 6% จากการที่กำลังประมวลผลลดลงอย่างต่อเนื่อง นี่ถือเป็นข่าวดีสำหรับนักขุด เนื่องจากมีโอกาสสร้างบล็อกใหม่ได้ง่ายและเร็วขึ้น โดยการปรับตัวลงของค่าความยากในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สามของปี 2020 ซึ่งแนวโน้มโดยรวมยังจะเพิ่มขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ ส่งผลให้บิทคอยน์หายากขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตามการที่กำลังประมวลผลเพิ่มขึ้นนั้นแม้จะส่งผลให้การขุดยากขึ้นเป็นเงาตามตัว แต่ก็ถือเป็นผลดีกับผู้ใช้บิทคอยน์ทุกคน เพราะนั่นหมายความว่าเน็ตเวิร์คมีความปลอดภัยสูงขึ้น และผู้ไม่หวังดีจำเป็นต้องใช้กำลังประมวลผลที่มากกว่าของทั้งระบบรวมกันเพื่อโจมตีหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลบนบล็อกเชน
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง: รายได้ของนักขุดบิทคอยน์ลดลงเกินครึ่งหลังเกิด Bitcoin Halving
