บริษัท CME Group บริษัทด้านการลงทุนตราสารอนุพันธ์ยักษ์ใหญ่ ดูเหมือนจะไม่น่าเข้ามาเกี่ยวข้องกับธุรกิจขุดเหมืองบิทคอยน์ได้ เนื่องจากอุตสาหกรรมนี้เป็นที่รู้กันดีว่าต้องใช้ความรู้ด้านฮาร์ดแวร์ในการสร้างและเซตระบบเครื่องขุด รวมไปถึงการเข้าถึงแหล่งพลังงานราคาถูกจำนวนมหาศาล โดยผู้นำตลาดโลก ณ เวลานี้คงจะหนีไปไหนไม่ได้นอกจากประเทศจีน ที่ครอบครองกำลังขุดกว่า 65% จากทั้งหมด
แต่จากจดหมายเปิดผนึกของนาย Federighi ที่ส่งให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท CME และให้ ก.ล.ต. ของสหรัฐฯตรวจสอบ ดูเหมือนว่าเขาจะเอาจริงในการ “ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ” และยังหวังว่าธุรกิจเหมืองบิทคอยน์นี้จะเข้ามาเป็นส่วนช่วยให้บริษัทมีผลกำไรมากขึ้นอีกด้วย
โดยนาย Federighi ได้ระบุในจดหมายเปิดผนึกของเขาว่า “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของเราบางท่าน อย่างเช่น BlackRock ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังปรับพอร์ตการลงทุนไปยังบริษัทที่มีการเติบโตและสร้างผลกำไรได้ต่อเนื่อง ทาง CME Group จึงควรจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ เริ่มสร้างโรงผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนต่าง ๆ เพื่อเป็นธุรกิจใหม่ของเรา และนำพลังงานส่วนเกินที่เหลือมาใช้ในการขุดบิทคอยน์และเงินคริปโตฯอื่น ๆ”
ถึงแม้ธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ดูเหมือนจะเป็นธุรกิจที่ไม่ตรงกับความเชี่ยวชาญของทาง CME Group ซักเท่าไหร่ แต่นาย Federighi ก็ได้กล่าวต่อไปอีกว่า “แม้อุตสาหกรรมนี้จะดูเหมือนอยู่นอกเหนือแวดวงธุรกิจที่เรากำลังทำอยู่ แต่ผมจะชี้ให้เห็นว่าทำไมมันถึงเหมาะกับบริษัทของเรา แต่การจับคู่ซื้อขายก็เป็นงานหลักของเราอยู่แล้ว เพียงเราเปลี่ยนจากตราสารอนุพันธ์มาเป็นคริปโตฯและขายมันออกมาเป็นเงินสดเท่านั้น นี่จะช่วยให้เรามีรายได้อื่นเพิ่มขึ้นมานอกเหนือจากธุรกิจปัจจุบัน และยังเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเจ้าเทคโนโลยีใหม่นี้ ที่อาจเปลี่ยนแนวทางการทำธุรกิจของ CME ไปตลอดกาล”
แผนของนาย Federighi นี้ดูเหมือนจะเป็นข่าวดีไม่น้อยสำหรับวงการคริปโตเคอเรนซี่ เนื่องจากการลงทุนทำเหมืองถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของบิทคอยน์ นั่นหมายความว่า เขาเชื่อว่าบิทคอยน์จะคงอยู่คู่กับโลกนี้ไปอีกซักพักใหญ่ ๆ เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม เรายังคงต้องมาลุ้นกันอีกว่าแผนของเขาจะได้รับการอณุมัติจากบอร์ดบริหารหรือไม่ และมันถูกเขียนไว้ดีและมีความยั่งยืนเพียงใด
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง: Kraken คาด เงินมรดกอาจทำให้ราคาบิทคอยน์พุ่งขึ้นถึง 350,000 ดอลลาร์