นักเทรดคริปโตหน้าใหม่กว่า 60% จะเริ่มต้นจากการซื้อบิทคอยน์ก่อน แต่หลังจากนั้นมักจะขยับขยายไปซื้อเหรียญ Altcoins อื่น ๆ โดยมีผู้ที่ซื้อแต่บิทคอยน์เพียงอย่างเดียวอย่างต่อเนื่องแค่ 24% เท่านั้น
การที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯกำลังจะติดลบนั้นถือเป็นโอกาสสำคัญของ บิทคอยน์ และจะผลักดันให้นักลงทุนระดับสถาบันให้เสาะหาสินทรัพย์ทางเลือกใหม่ ๆ ที่มีความมั่นคงกว่าเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดลบนั้นบ่งบอกถึงภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
โดยขณะนี้ทองคำซื้อขายกันอยู่ที่ราคา 1,735 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ให้ผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปี (YTD) ที่ 14% แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน บิทคอยน์ให้ผลตอบแทน YTD มากกว่าทองคำถึงกว่าเท่าตัว อยู่ที่ 32% YTD
Tether หรือ USDT มีมูลค่าตลาด (Market Cap) ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 8.8 พันล้านดอลลาร์ จ่อท้ายเหรียญอันดับสามอย่าง Ripple (XRP) ที่มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 8.9 พันล้านดอลลาร์มาติด ๆ
สินทรัพย์ Crypto Hedge Fund เติบโตขึ้นกว่าเท่าตัวในปี 2019 โดยโตจากระดับ 1,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 มาอยู่ที่ 2,000 ล้านดอลลาร์ ในช่วงสิ้นปี 2019
เมื่อวานนี้ (10 พฤษภาคม) มีนักเทรดคริปโตที่ถูกบังคับปิดสถานะ (Liquidatation) บนเว็บเทรดอนุพันธ์เงินดิจิทัลชื่อดังอย่าง BitMEX เป็นมูลค่ารวมกว่า 295 ล้านดอลลาร์
สถิติวอลลุ่มการเทรดคริปโตในช่วงก่อนที่จะเกิด Bitcoin Halving พบว่าในวันที่ 30 เมษายน เป็นวันที่มีวอลลุ่มการซื้อขายสูงที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์
แม้เหตุการณ์ Halving จะถือเป็นปัจจัยบวกต่อราคาของบิทคอยน์ในระยะยาว แต่นักลงทุนหลายคนเห็นว่าราคาของมันขึ้นมาเร็วและรุนแรงเกินไป ทำให้อาจมีการดึงกลับของราคาเล็กน้อยก่อนที่จะไปต่อ
Mark Yusko ซีอีโอของ Morgan Creek บริษัทด้านจัดการลงทุนยักษ์ใหญ่มองว่ามีโอกาสจะได้เห็นบิทคอยน์พุ่งไปถึงราคา 100,000 ดอลลาร์หรือพุ่งมากกว่า 1,000% ในปีหน้า
Paul Tudor Jones ตำนานแห่ง Wall Street ได้ออกมาเปิดเผยผ่านสำนักข่าว Bloomberg ว่าได้ลงทุนในบิทคอยน์เพื่อป้องกันความเสี่ยงภาวะเงินเฟ้อ