หากจะทำความรู้จัก Crypto Currency จำเป็นต้องรู้จักเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า Blockchain ควบคู่กันไปด้วย แม้ที่ผ่านมาคนทั่วไปจะรู้จักคำว่า Bitcoin มากกว่าก็ตาม ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจก็คือ Bitcoin ทำงานผ่านระบบ Blockchain อีกทีหนึ่ง
ก่อนอื่นต้องเข้าใจปัญหาของเทคโนโลยีในปัจจุบันเสียก่อน วิธีการรวมศูนย์ (Centralize) มีข้อดีคือสามารถบริหารจัดการได้โดยง่าย แต่หากประสบปัญหาขึ้นก็จะส่งผลกระทบต่อไปยังเครือข่ายทั้งหมดด้วย ยกตัวอย่างเช่นการที่เก็บข้อมูลไว้ที่ Server กลางเพียงแห่งเดียว เมื่อเกิดการโจรกรรมข้อมูลขึ้นก็จะได้รับความเสียหายทั้งระบบ
แต่ถ้าหากมีการกระจายศูนย์ออกไปโดยไม่พึ่งพาศูนย์กลาง ปัญหาดังกล่าวก็จะหมดไป ระบบจะเกิดความโปร่งใสขึ้นเพราะที่ผ่านมาเราไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าผู้ที่ควบคุมศูนย์กลางอยู่นั้นได้ปกปิดธุรกรรมหรือข้อมูลอะไรไปบ้าง
แต่ถ้าทุกคนมีความเป็นศูนย์กลางในตัวเอง การตรวจสอบระหว่างกันจะทำได้ง่ายและการที่ไม่มีตัวกลางจะทำให้ขั้นตอนการทำธุรกรรมและต้นทุนต่างๆลดลงไปด้วย นี่คือการกำเนิด Blockchain เทคโนโลยีที่มีคอนเซบท์หลักคือการ “กำจัดตัวกลาง” (Decentralized)
ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องมีตัวกลาง เช่น การจะโอนเงินก็ต้องมีธนาคารเป็นตัวกลาง การซื้อขายหุ้นก็ต้องมีโบรกเกอร์และตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงการเลือกตั้งก็ต้องมีคณะกรรมการเลือกตั้ง และถ้าเรานำ Blockchain มาใช้แทนที่ตัวกลางเหล่านี้ โลกเราจะเปลี่ยนไปชนิดที่จินตนาการไม่ถูก จึงมีหนังสือเล่มหนึ่งที่เขียนถึงเทคโนโลยีนี้ว่าจะเป็นการปฎิวัติโลกใบนี้ ชื่อหนังสือว่า Blockchain Revolution
เทคโนโลยีนี้ประกอบไปด้วยสองคำที่มีความหมายคือ Block+Chain กล่าวคือ Block หมายความว่าแต่ละหน่วยมีความเป็นศูนย์กลางในตัวเองและเชื่อมต่อถึงกันเหมือนกับโซ่ (Chain) นั่นเอง แทนที่จะมีคนกลางมาตัดสินและรับรองธุรกรรม แต่ละ Node หรือผู้ใช้แต่ละคนสามารถยืนยันธุรกรรมต่างๆได้กันเอง ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีชื่อว่าสัญญาอัจฉะริยะ (Smart Contract)
อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีการนำ Blokchain มาใช้มากที่สุดน่าจะเป็นธุรกิจการเงินเพราะสามารถลดขั้นตอนธุรกรรมต่างๆและต้นทุนไปได้อย่างมาก อย่างเช่นธนาคารกลางในหลายประเทศมีความคิดจะใช้ Blockchain ในการทำธุรกรรมการเงินกันเองระหว่างธนาคารเพื่อลดต้นทุนการเงินกันเองนำไปสู่การลดค่าธรรมเนียมกับลูกค้า
หรือการกู้เงิน ปกติแล้วหากเราอยู่สาขาต่างจังหวัด การจะดึงข้อมูลเครดิตจะต้องขอกลับไปยังสำนักงานใหญ่และส่งกลับมายังสาขาย่อย แต่หากใช้ Blockchain ทุกคนในระบบจะสามารถเช็คเครดิตของกันและกันได้ซึ่งจะลดขั้นตอนต่างๆลงไปได้มาก
บางประเทศเริ่มมีความคิดที่จะใช้ Blockchain ในการเลือกตั้ง เพราะทุกคะแนนที่ลงเสียง ทุกคนในระบบมีสิทธิที่จะตรวจสอบได้ทั้งหมด หากเราตั้งสมมุติฐานว่าหน่วยงานนับคะแนนที่รวมศูนย์คะแนนไว้ที่จุดเดียวอาจจะตั้งใจทำผิดก็ได้
Blockchain ยังถูกนำมาใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน ฯลฯ หลายๆองค์กรเริ่มที่จะพัฒนา Blockchain ของตัวเองขึ้น อนาคตเราไม่สามารถที่จะหนีพ้นได้แน่นอน
มีคำกล่าวว่า WWW (World Wide Web) สำคัญต่อโลกอย่างไร Blockchain ก็มีความสำคัญอย่างนั้นเช่นกัน
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : Bitcoin ราชาแห่ง Cryptocurrency