พนักงาน KFC ชาวอังกฤษถูกตัดสินจำคุก 8 ปี ในข้อหาค้ายาเสพติดคิดที่บ้านของเขาในเมือง Leicestershire โดยมีของกลางเป็น ยาเสพติด เงินสด 1.8 ล้านปอนด์ และ Bitcoin มูลค่าอีกกว่า 300,000 ปอนด์ ได้ถูกยึดโดยตำรวจท้องที่
จากอาหารจานด่วนสู่ธุรกิจทำเงินด่วน
ในปี 2560 ตำรวจทำการตรวจค้นที่บ้านของนายพอล จอห์นสัน ซึ่งพวกเขาพบยาเสพติดเป็นจำนวนมาก ทั้งยาอี โคเคน คีตามีน และกัญชา จากรายงานของสำนักงานข่าวท้องถิ่น นายจอห์นสันนั้นได้ทำการส่งยาไปทั่วประเทศผ่านทางไปรษณีย์
ระหว่างเดือนสิงหาคม 2559 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2560 ด่านตรวจชายแดนของสหราชอาณาจักร (UK Border Control) ได้สกัดพัสดุรวม 20.8 กิโลกรัมที่จ่าหน้าถึงนายจอห์นสันและถูกส่งไปยังที่อยู่สามแห่งที่เขาเช่าไว้ โดย 40 เปอร์เซ็นต์เป็นยาเสพติดประเภท เอ มีโคเคนอยู่ ¼ กิโลกรัม ยาอีทั้งชนิดเม็ดและผงกว่า 8.1 กิโลกรัม ยาสลบม้า 3 กิโลกรัม รวมทั้งคีตามีน และกัญชาแปดกล่องซึ่งแต่ละกล่องมีน้ำหนักระหว่าง 0.5 กิโลกรัมถึง 4.5 กิโลกรัม
นายจอห์นสัน นางลีอาภรรยา และลูกสาวตัวน้อยของเขา อาศัยอยู่ในย่านที่เงียบสงบในเขตมิดแลนด์ของประเทศอังกฤษ โดยไม่มีใครสงสัยเลยว่ากำลังมีขบวนการค้ายาเสพติดขนาดใหญ่กำลังเกิดขึ้นในห้องใต้หลังคาของบ้าน
ทนายความของนายจอห์นสันกล่าวว่าเขาเข้าสู่การค้ายาเสพติดในปี 2558 หลังจากประสบปัญหาในการหางาน แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแก๊งอาชญากรใหญ่ๆแต่อย่างใด
ภาพนายจอห์นสันจาก leicestermercury
นายจอห์นสันเริ่มเปิดกิจการของเขาบนเว็บใต้ดิน และยังคงดำเนินกิจการต่อไปอีกพักใหญ่หลังจากเจ้าหน้าที่เริ่มทำการสกัดพัสดุของเขาได้ ตำรวจอ้างว่าในช่วงเวลาที่เขาถูกจับกุม เขามีเงินจากการค้ายาถึง 1,868,946 ปอนด์ และ Bitcoin มูลค่า 314,358 ปอนด์ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ถูกตำรวจยึดแล้ว
BITCOIN ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมมาอย่างยาวนาน
ฝ่ายที่ไม่สนับสนุนคริปโตฯ ได้ยกเรื่องนี้เป็นประเด็นมาตลอดว่า เงินคริปโตฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Bitcoin มักถูกนำมาใช้ก่ออาชญากรรมอย่างเช่นในกรณีของนายจอห์นสัน ซึ่ง Bitcoin ถูกตีแผ่เรื่องนี้เป็นครั้งแรกในปี 2014 เมื่อเจ้าหน้าที่ของสหรัฐอเมริกาปิดเว็บ Silk Road ซึ่งเป็นตลาดมืดออนไลน์ขนาดใหญ่ที่ใช้คริปโตฯในการแลกเปลี่ยนยาเสพติดและผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมายอื่นๆ โดยขณะนี้นา Ross Ulbricht ผู้อยู่เบื้องหลังเว็บไซต์ดังกล่าวถูกตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิต
ความสัมพันธ์ของคริปโตฯ กับกิจกรรมทางอาชญากรรมนั้นเป็นที่ถกเถียงและมีความซับซ้อน เนื่องจากคุณสมบัติที่ไร้พรมแดนและไม่เปิดเผยตัวตันนั้นทำให้มันเหมาะเป็นอย่างยิ่งต่อการทำธุรกรรมผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม การทำธุรกรรมของคริปโตฯ ส่วนใหญ่ยังถูกใช้กับเรื่องถูกกฎหมาย นอกจากนี้เหล่าอาชญากรนั้นก็สามารถทำการฟอกสินทรัพย์ด้วยวิธีอื่นมาโดยตลอด และขณะนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนจะทำให้อาชญากรทำงานได้ง่ายขึ้นแต่อย่างใด
นอกเหนือจากยาเสพติดแล้วเจ้าหน้าที่ยังมีความกังวลอย่างมากกับการใช้สินทรัพย์ดิจตอลที่อยู่บนบล็อกเชนเพื่อเป็นการสนับสนุนเงินทุนให้แก่กลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มหัวรุนแรง เช่น ชายในสหรัฐอเมริกาที่เพิ่งถูกตัดสินให้มีความผิดการขายปืนเถื่อนให้กับกลุ่ม neo-Nazis เพื่อแลกกับ Bitcoin และยังมีงานวิจัยของอิสราเอลที่แสดงถึงกระเป๋าเงิน Bitcoin กัที่เชื่อมโยงกับกลุ่มหัวรุนแรงชาวปาเลสไตน์อีกด้วย
แม้ขณะนี้เงินคริปโตฯจะเป็นความท้าทายสำหรับการผู้บังคับใช้กฎหมาย แต่มันก็ยังเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้พัฒนาชีวิตของคนจำนวนมากทั่วโลกได้อีกด้วย
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง: เทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถนำมาใช้รับมือกับไวรัสโคโรน่าได้อย่างไร