ราคา Bitcoin ปรับตัวขึ้นแรงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยบวกไปถึง 40% และทำจุดสูงสุดใหม่เหนือระดับ 40,000 ดอลลาร์ ขณะที่ทองคำไม่สามารถยืนเหนือระดับ 1,900 ดอลลาร์ ได้และถูกเทขายลงมาจนผลตอบแทนติดลบ 2.3%
ขณะที่ผลตอบแทนของ Bitcoin ในปีที่ผ่านมาทำได้ถึง 270% ส่วนทองคำทำได้ 25% ผลตอบแทนของ Bitcoin เทียบเคียงกับทองคำก็สามารถเอาชนะได้อย่างต่อเนื่อง คำถามคืออะไรคือเหตุผลที่ผลตอบแทนของสองสินทรัพย์ถึงต่างกันแม้จะมีคุณสมบัติเดียวกันนั่นคือการเป็น Store Of Value และถูกคาดหวังในการเป็นตัวแทนของสกุลเงินดอลลาร์
เป็นไปได้ว่านักลงทุนที่ลงทุนในBitcoin และทองคำอาจจะเป็นคนละกลุ่มกัน แต่นักลงทุนในทองคำอาจจะเป็นกลุ่ม Traditional Investor ซึ่งยึดติดกับทฤษฎีการลงทุนเก่าที่ว่าทองคำจะเคลื่อนไหวผกผันกับสกุลเงินดอลลาร์และเงินเฟ้อ
ส่วนนักลงทุนในบิทคอยน์น่าจะเป็นนักลงทุนรุ่นใหม่ทั้งรายย่อยและสถาบันที่ให้น้ำหนักกับปัจจัยเรื่องเทคโนโลยีที่มีอยู่ในบิทคอยน์ซึ่งเหมาะสมกับการเป็นสินทรัพย์ในยุคดิจิทัลมากกว่าทองคำ ทำให้ช่วงที่ผ่านมาราคาบิทคอยน์สามารถเอาชนะทองคำในแง่ผลตอบแทนมาได้ตลอดจากความคาดหวังว่าจะเป็นสินทรัพย์แห่งอนาคต
ถึงอย่างไรทั้งบิทคอยน์และทองคำต่างมีศักยภาพในการที่จะสร้างจุดสูงสุดใหม่ในแง่ของราคาได้ นักลงทุนอาจเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเหมาะสมกับตัวเอง ถ้ารับในความเสี่ยงและความหวือหวาได้ก็เลือกลงทุนในบิทคอยน์ ใครที่คอนเซอร์เวทีพลงมาหน่อยก็เลือกลงทุนในทองคำ
วิเคราะห์กราฟเทคนิค BTC
BTC ปรับฐานแรงหลุดเส้น EMA9 ลงมาก่อนที่จะมีแรงซื้อคืนที่ระดับ 34,000 ดอลลาร์ กลับมายืนเหนือเส้น EMA9 ได้อีกครั้ง ใช้ราคา 34,000 ดอลลาร์ นี้เป็นแนวรับแรก เพราะถ้าใช้เส้น EMA35 เป็นแนวรับถัดไปที่ 28,375 ดอลลาร์ อาจจะลึกเกินไปจุดสูงสุดเดิม 42,000 ทำหน้าที่กลายเป็นแนวต้าน
นับตั้งแต่ Breakout แนวต้านสำคัญ 20,000 ดอลลาร์ ขึ้นมาได้ BTC สามารถประคองตัวเองบนเส้น EMA9 มาได้ตลอดแม้จะมีแรงเทขายหนักก็จะเกิดแรงซื้อคืนให้สามารถกลับมายืนเหนือเส้นดังกล่าวได้ทุกครั้ง กลยุทธ์การลงทุนสามารถแบ่งซื้อเป็นสามไม้ตามเส้น EMA9,35 และ 59 ได้
วิเคราะห์กราฟเทคนิค ETH
ETHปรับฐานลงมาแต่ยังลงมาไม่ถึงเส้นแนวรับ EMA9 ระยะสั้นใช้ระดับราคา 1,166 ซึ่งเป็นระดับที่ถูกเทขายลงมาแล้วมีแรงซื้อเป็นแนวรับแรก ส่วนแนวรับถัดไปคือเส้น EMA9 ที่ราคา 1,125 ดอลลาร์
ตั้งแต่ต้นปี 2021 ราคา ETH พุ่งแรงอย่างรวดเร็วโดยมีเป้าหมายอยู่ที่จุดสูงสุดเดิมที่ระดับ 1,400 ดอลลาร์ ขึ้นไป แต่การขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ต้องวางจุดแนวรับที่ชันขึ้นตามไปด้วยระยะสั้นต้องใช้เส้น EMA9 เป็นหลัก หากใช้เส้นที่ระยะเวลาห่างออกไปอย่าง EMA35 และ 59 อาจทำให้แนวรับห่างกันมากเกินไป