เพียงแค่หนึ่งวันก่อนหน้า บรรดาเทรดเดอร์Binance หลายรายต่างประสบกับปัญหาอย่าง
- ระบบการถอนเงินไม่ทำงาน
- ไม่สามารถเข้าไปดูหน้าจอแสดงบัญชีดุลได้
- ไม่สามารถทำการซื้อขายเนื่องจากมีบัญชีดุลที่่ว่างเปล่า
- และอื่นๆ
สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ชุมชนชาวคริปโตตกอยู่ในความผิดหวังระคนความกังวล ก่อนที่อีก 2-3 ชั่วโมงต่อมา สถานการณ์ทุกอย่างจะคลี่คลายกลับสู่สภาวะปกติ โดย CZ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของ Binance กล่าวผ่านทวิตเตอร์ว่า เป็นเหตุการณ์ที่ “แทบจะรับไม่ไหว”
ขณะที่การซื้อขายคริปโตตัวอื่นก็ได้รับผลกระทบจากการชะงักงันของ AWS เช่นกัน โดยมีรายงานว่า Huobi และ Kucoin นับเป็นหนึ่งใน ผู้ที่ได้รับผลกระทบหนัก ขณะที่ CEO ของ FTX ทวีตว่า AWS ทำให้บริการของเขาได้รับผลกระทบควบคู่ไปกับการแลกเปลี่ยนคริปโตอื่น ๆ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดคำถามตามมาว่า – Amazon AWS กลายเป็นหัวใจสำคัญที่ปั๊มกิจกรรมและพลังชีวิตให้กับเศรษฐกิจคริปโตแล้วหรือไม่? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากเกิดล้มเหลวในช่วงเวลาที่ยาวนานขึ้น? ผลกระทบต่อการซื้อขายคริปโตในตลาดย่อมมีมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ทำให้เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าหรือปิดสถานะการซื้อขาย ซึ่งจะทำให้เทรดเดอร์ขาดทุนอย่างมาก
ทั้งนี้ เราเชื่อว่า โซลูชั่นข้างต้นควรประกอบด้วยการที่ Amazonพิจารณาในโครงสร้างพื้นฐานและการแลกเปลี่ยนคริปโตที่สร้างความซ้ำซ้อนหลาย ๆครั้ง อีกครั้ง โดยตามรายงานล่าสุดระบุว่า โครงสร้างพื้นฐานของบริการของ Amazon มีส่วนแบ่งการตลาดเกือบ 50% ซึ่งตามหลักเหตุผลดังกล่าว ทำให้ดูเหมือนว่าหากเซิร์ฟเวอร์ของ Amazon ถูกทำลาย บริการอันเป็นที่รักของเราเช่น Netflix ก็จะหายไปด้วย
งานนี้ AWS ของ Amazon จะเป็นระบบที่ใช้งานได้หรือไม่ ล้วนเป็นคำตอบที่คุณเท่านั้นที่จะตอบได้
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ตลาดการแลกเปลี่ยนของตลาดคริปโตหยุดทำงานบ่อยครั้งมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุจาก Amazon หรืออะไรก็ตาม เราหวังว่าการแลกเปลี่ยนคริปโตจะมีการลงทุนเพื่อลดความซ้ำซ้อนซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงการหยุดทำงานที่คล้ายกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก และการหยุดทำงานมากเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้ที่ภักดีย้ายไปใช้บริการอื่นที่เชื่อถือได้มากกว่า