- รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ กำลังนั่งเบาะพิจารณาเพื่อเค้นแหล่งรายได้ของภาษีเท่าที่จะเป็นไปได้
- แนวทางของรัฐบาลไบเดนที่พยายามแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้เสียภาษีดูเหมือนจะค่อนข้างไร้เดียงสา แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ยังคงควรได้รับการต้อนรับ เนื่องจากการจัดเก็บภาษีประเภทสินทรัพย์คือการยอมรับและทำให้ถูกต้องตามกฎหมายในการดำรงอยู่ของคริปโต
เอาล่ะ มาเผชิญหน้าไปพร้อมกัน โดยต้องยอมรับก่อนว่า สกุลเงินดิจิทัลไม่ได้มีชื่อเสียงที่หมดจดไร้ที่ติที่สุด
ทั้งนี้ แม้ว่าจะการทำธุรกรรม cryptocurrency ที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่มิชอบด้วยกฎหมายจะมีเพียง 0.34% ในปี 2020 ตามรายงานของ Chainalysis บริษัทวิเคราะห์บล็อคเชน กระนั้น การใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อฟอกเงินและเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีมักจะอยู่ในอันดับต้น ๆ ของรายการข้อกล่าวหาที่ทางการมีต่อสินทรัพย์น้องใหม่ของตลาดตัวนี้
แต่ถ้ามีวิธีให้รัฐบาลเก็บภาษีจาก cryptocurrencies ล่ะ? ฝ่ายนิติบัญญัติจะเปิดรับสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้นตราบเท่าที่พวกเขาต้องการและได้รับเงินก้อนโตหรือไม่?
นั่นคือสิ่งที่ฝ่ายบริหารของ Biden เตรียมพร้อมที่จะทำ
โดยขณะนี้กำลังเป็นประเด็นร้อนเร่งด่วนของหน่วยงานที่กำกับกูแลด้านการเงินของประธานาธิบดีไบเดน ที่ประกาศว่าทางการจะทำงานร่วมกันเพื่อแยกประเด็นเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลเมื่อพูดถึง cryptocurrencies ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังเสนอให้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนักลงทุนคริปโตต่างชาติที่ทำงานอยู่ในสหรัฐฯ
การเคลื่อนไหวดังกล่าว มีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อช่วยในการปราบปรามการหลีกเลี่ยงภาษีในวงกว้าง
เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ได้เปิดเผยในรายงาน “Greenbook” ซึ่งเป็นข้อเสนอรายได้ที่ต้องการสำหรับโบรกเกอร์หรือนายหน้าในการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล เช่น Coinbase Global (+0.65%) และผู้ให้บริการกระเป๋าสตางค์ (วอลเล็ท) เพื่อให้ข้อมูลกับกรมสรรพากร (Internal Revenue Service หรือ IRS) ในต่างประเทศที่ไม่ได้ถือบัญชีโดยตรง
รัฐบาลไบเดนหวังว่าการให้ข้อมูลดังกล่าวแก่รัฐบาลต่างประเทศเพื่อแลกกับการสามารถขอข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลในสหรัฐอเมริกาที่ปกปิดทรัพย์สินสกุลเงินดิจิทัลและหลบเลี่ยงภาระภาษีของสหรัฐฯ ผ่านการใช้การแลกเปลี่ยนนอกชายฝั่งและผู้ให้บริการกระเป๋าเงิน
ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งของการรณรงค์โดยรัฐบาลไบเดนมีขึ้นเพื่อเสริมสร้างการบังคับใช้ภาษีที่จะช่วยสนับสนุนเงินทุนหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯในโครงการการใช้จ่ายระยะยาวที่เสนอเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และข้อเสนอจะยังคงต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาเพื่อผ่านเข้าสู่กฎหมาย
เจ้าหน้าที่ไบเดนกล่าวว่า สกุลเงินดิจิทัลมีส่วนสำคัญต่อช่องว่างทางภาษีที่เพิ่มขึ้น –คือความแตกต่างระหว่างภาษีที่ค้างชำระและจ่ายจริงตรงเวลา – โดยจำนวนเงินที่ Charles Rettig กรรมาธิการกรมสรรพากรคาดการณ์อาจเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
อย่างไรก็ตาม การเล็งความสนใจไปยัง cryptocurrencies ของรัฐบาลไบเดนอาจเพิ่มเสน่ห์ให้กับพวกเขาเท่านั้น มากกว่าเต็มใจที่จะมองไปทางอื่นเมื่อต้องช่วยเหลือชาวอเมริกันเกี่ยวกับเป้าหมายการวางแผนภาษีของพวกเขา
ขณะเดียวกัน ด้วยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับชาวต่างชาติที่ซื้อขาย cryptocurrencies ในสหรัฐอเมริกาและใช้เป็นตัวหลอกล่อเพื่อดึงดูดเขตอำนาจศาลนอกชายฝั่งในความเป็นส่วนตัวของลูกค้าอาจให้แรงกระตุ้นเพียงเล็กน้อยในการตอบแทน โดยเฉพาะประเทศที่ปลอดภาษีและแทบไม่ได้ประโยชน์จากการรับข้อมูลเกี่ยวกับพลเมืองของตัวเองที่ไม่ต้องเสียภาษีอยู่ดี
และกำไรส่วนใหญ่ที่ได้จาก cryptocurrencies คือการเพิ่มทุน ซึ่งมีประเทศมากมายที่ภาษีดังกล่าวไม่ได้ใช้
ที่ที่อาจมีค่าคือที่ที่อาชญากรต่างชาติใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในตลาดคริปโตของสหรัฐฯ เพื่อฟอกผลประโยชน์ของพวกเขา แต่ทำไมทุกคน (อาชญากรหรืออย่างอื่น) จะทำเช่นนั้น?
หากไม่มีประเด็นอื่นใด การแลกเปลี่ยนนอกประเทศสหรัฐฯนั้นมีสภาพคล่องมากที่สุดด้วยปริมาณการซื้อขายที่มากที่สุดและตลาดที่ลึกที่สุด ชาวอเมริกันที่ต้องการซื้อขายนอกชายฝั่งจะใช้การแลกเปลี่ยนแบบกระจายอำนาจหรือดีกว่านั้นซึ่งควบคุมโดยสัญญาอัจฉริยะทั้งหมดและไม่มี AML หรือ KYC
แม้จะมีช่องว่างในแนวทางของรัฐบาลไบเดนในการเก็บภาษีคริปโตเคอเรนซี แต่การเคลื่อนไหวก็ควรได้รับการต้อนรับ เพราะไม่มีอะไรที่บ่งบอกความถูกต้องตามกฎหมายและการยอมรับได้เหมือนกับการเก็บภาษีในบ้านของคุณ ท้ายที่สุด นั่นเป็นวิธีที่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Feds ได้ภาษีจาก Al Capone