เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ทาง Ethereum ได้มีการปล่อย Deposit Contract เพื่อให้ผู้ถือ ETH ได้เข้าร่วมทำการ Staking และเดินหน้าเริ่มต้น Phase 0 เพื่ออัพเกรดระบบไปเป็น ETH 2.0
แม้การร่วมเป็นผู้ดูและระบบหรือ Validator ผ่านการเปิด Validator Node ที่ต้องทำการ Stake เหรียญ ETH ขั้นต่ำ 32 ETH นั้นดูเหมือนจะให้ผลตอบแทนที่ดีมาก ๆ จนล่าสุดมีผู้ฝาก ETH เพื่อร่วมทำการ Staking แล้วถึง 94,848 ETH แต่ก็ยังขาดอีกถึง 429,440 ETH หรืออีก 82% จึงจะครบเป้าที่ 524,288 ETH เพื่อเดินหน้าปล่อย Main Net และเข้าสู่ Phase 0
ที่มา: Ethereum 2.0 LaunchPad
โดยมีเหตุผลหลากหลายประการที่ทำให้คนส่วนใหญ่ยังลังเลที่จะนำ ETH ของตัวเองมา Stake จากความเสี่ยงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรดแมฟที่ยังไม่แน่ชัดว่า Main Net ของ Ethereum 2.0 จะเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่ นั่นหมายความว่าผู้ที่ส่ง ETH เข้าไปยัง Deposit Contract นั้นไม่สามารถจะถอนเหรียญของตนเองออกมาได้จนกว่าระบบของ ETH 2.0 จะเรียบร้อย นั่นจึงก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ว่า หากราคาของ ETH ร่วงลงอย่างรุนแรงก็ไม่สามารถนำออกมาขายเพื่อจำกัดความเสี่ยงได้ หรือหากมันพุ่งขึ้นก็ไม่สามารถขายทำกำไรได้เช่นกัน
อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญก็คือ การเข้าร่วมเป็น Validator Node นั้นจำเป็นต้องมี Uptime หรือการออนไลน์เพื่อทำหน้าที่ดูแลระบบอย่างน้อย 65% อ้างอิงจากคำกล่าวของนาย Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum แม้จะไม่ได้ต้องการ Uptime ที่สูงมากนัก แต่หากทำได้ไม่ถึงเป้าแล้วล่ะก็คุณอาจต้องเจอกับการลงโทษที่เรียกว่า Slashing ซึ่งจะหักจาก ETH ที่อยู่ใน Deposit Contract ของคุณ
สุดท้ายแล้วยังมีเรื่องของผลตอบแทนที่ขึ้นลงตามจำนวนของ ETH ทั้งหมดที่ถูกนำมา Stake กล่าวคือ ยิ่งมีผู้เข้าร่วมเป็น Validator มากเท่าไหร่ ยิ่งได้ผลตอบแทนน้อยลงเท่านั้น อ้างอิงจากเว็บไซต์ Ethereum Launchpad แล้วจะเห็นได้ว่าผลตอบแทนเบื้องต้นจะอยู่ที่ 21.6% ต่อปีหากมีผู้ฝาก ETH ครบขั้นต่ำที่ 524,288 แต่จะลดหลั่นลงไปเรื่อย ๆ โดยเหลือ 4.9% ต่อปีหากมีผู้ฝาก ETH รวม 10 ล้าน ETH
และอย่าลืมว่าผลตอบแทนดังกล่าวจะมาในรูปแบบของเหรียญ ETH ถ้าหากในอนาคตราคาของ ETH ร่วงต่ำลงไปกว่าต้นทุนที่เราซื้อมาเพื่อทำการ Staking แล้วล่ะก็ ผลตอบแทนที่ได้จริง ๆ ก็จะน้อยลงกว่าที่คาดไว้เข้าไปอีก
แม้จะมีความเสี่ยงหลายประการดังที่กล่าวไปข้างต้น แต่ล่าสุดก็ได้มีบุคคลนิรนามทำการฝาก 16,000 ETH หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 220 ล้านบาทเพื่อทำการเปิด 500 Validator Nodes คิดเป็น 16.87% ของจำนวน Node ทั้งหมด! ซึ่งนี่แซงหน้าการฝากของนาย Vitalik Buterin ที่ได้เปิด 100 Nodes ด้วย 3,200 ETH ไปเมื่อก่อนหน้านี้ถึง 5 เท่า!
ที่มา: Beaconcha.in
ด้วยปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้จึงเป็นที่คาดการณ์กันว่า เป้าหมายการปล่อย Beacon Chain และเริ่ม Phase 0 ในวันที่ 1 ธันวาคมนี้นั้นอาจต้องล่าช้าออกไป แต่ก็ยังมีโอกาสที่มีผู้ถือ ETH หลายคนยังรอดูทีท่าและพยายามลดความเสี่ยงโดยการถือ ETH ไว้กับตัวก่อนและค่อยนำไปฝากไว้ในวันท้าย ๆ เพราะหากมีการเคลื่อนไหวราคาอย่างรุนแรงในช่วงนี้ ผู้ที่ถือ ETH ไว้เองยังมีโอกาสที่จะขายเพื่อกำไรหรือตัดขาดทุนอยู่นั่นเอง
สุดท้ายนี้ ยังมีผู้ถือ Ethereum อีกมากมายที่มีไม่ถึง 32 ETH และกำลังรอให้เว็บเทรดต่าง ๆ เปิด Pool เพื่อรวบรวมเหรียญไปเปิด Validator Nodes กันอยู่อีกมาก ในอนาคตหากการทำ Staking ผ่าน Pool เป็นเรื่องง่ายมากขึ้นแล้วล่ะก็ จำนวน Validator Node ก็จะเพิ่มขึ้นด้วยอย่างแน่นอน
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง: ผู้บริหาร FTX ชี้ แม้แต่ ETH 2.0 ก็รองรับการเติบโตของ DeFi ไม่ไหว