มีนักวิเคราะห์ทางการเงินพยายามที่จะสร้างมาตราฐานการวิเคราะห์ทิศทางของ Crypto Currency ด้วยการเปรียบเทียบกับค่าเงิน (Forex) หรือสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) แต่การเคลื่อนไหวของ Crypto Currency บางครั้งขึ้นอยู่กับปัจจัยด้าน “ข่าว” หรือเหตุการณ์
เป็นเรื่องยากที่จะประเมินมูลค่าของ CryptoCurrency หรือ ICO ได้เหมือนกับการวิเคราะห์พื้นฐานของหุ้นซึ่งมีตัวเลขผลประกอบการ อัตราส่วนทางการเงิน ที่พิสูจน์ได้ ทิศทางราคาของ Cryptocurrency จึงขึ้นอยู่กับ Sentiment หรือความเชื่อมั่นที่มีต่อ CryptoCurrency
หาก Crypto Currency ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งานหรือหน่วยงานกำกับดูแลมากขึ้น ราคาก็มีสิทธิที่จะอยู่ในทิศทางขาขึ้น แต่หากมีข่าวลบเกิดขึ้นก็จะมีผลต่อราคาที่อาจจะเป็นขาลง เราลองไปดูสมมุติฐานกันว่าเหตุการณ์หรือข่าวแบบใดที่จะมีผลต่อราคา
แนวโน้มด้านบวก
ภาคธุรกิจนำมาใช้งานมากขึ้นโดยเฉพาะการยอมรับ Bitcoin หรือเงินดิจิทัลอื่นๆให้สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันได้ หรือแม้แต่การสร้างเหรียญของตัวเองขึ้นเพื่อใช้งาน โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ อย่างเช่นที่ผ่านมาแม็คโดนัลด์และสตาบัคส์ ต่างออกมากล่าวว่ากำลังสนใจที่จะใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการชำระสินค้า ทำให้ราคา Crypto Currency ปรับตัวสูงขึ้น
สถาบันการเงินให้การยอมรับเป็นการยืนยันว่า Crypto Currency ได้รับการยอมรับในระดับทั่วไปแล้วนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการนำ Blockchain มาใช้ในการทำธุรกรรมการเงิน หรือเพียงแค่ออกมากล่าวสนับสนุนก็มีส่วนทำให้ราคาปรับตัวขึ้นได้แล้ว โดยเฉพาะธนาคารขนาดใหญ่ออกมาให้ข่าวก็จะมีน้ำหนักมากขึ้น
เกิดเครื่องมือการเงินใหม่ๆเช่น ตลาด CME CBOE ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายตราสารอนุพันธ์รายใหญ่ของโลกออกผลิตภัณฑ์ Bitcoin Future ขึ้นมา หรือการที่ตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ เตรียมที่จะเปิดตัวตลาดที่ซื้อขาย Crypto Currency ของตัวเอง ปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อทิศทางราคา โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่คนทั่วโลกจับตาก็คือกองทุน ETF ที่ลงทุนใน Crypto Currency ซึ่งจะมีส่วนช่วยผลักดันราคาได้อย่างมาก
คนดังพูดถึงในเชิงบวกส่วนมากจะเป็น Celeb หรือ Influlencer ในวงการ Blockchain และ Crypto ที่จะออกมาสื่อสารผ่านทวิตเตอร์หรือให้ข่าวในเชิงบวก แม้กระทั่งเชียร์เหรียญ ICO บางตัว ก็มีส่วนช่วยกระตุ้นตลาดได้เช่นกัน
ภาครัฐประกาศเข้ามาสนับสนุนจะเป็นการเรียกความเชื่อมั่นให้กับเทคโนโลยี Blockchain และ Crypto Currency ได้อย่างมาก โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่จะมีอิทธิพลต่อราคาสูงกว่าประเทศขนาดเล็ก
แนวโน้มด้านลบ
ข่าว Exchange ถูกแฮ็คเป็นปัจจัยลบที่มีผลมากที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลงราคา Crypto Currency โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านมามีข่าว Exchange ดังระดับโลกถูกแฮ็คและถูกนำเงินออกไปหลักพันล้านบาท ความกังวลในเรื่องความปลอดภัยของการเก็บรักษาเงินจึงมีผลทำให้คนทั่วไปยังไม่เข้ามาในตลาดเงินดิจิทัล
ภาครัฐเข้ามาควบคุมเป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อความเชื่อมั่นที่มีต่อ Crypto Currency อย่างเช่นประเทศจีนเคยเป็นตลาดซื้อขายและระดมทุน ICO ที่ใหญ่อันดับสองของโลก แต่หลังจากภาครัฐออกมาห้ามการทำธุรกรรมเกี่ยวกับ Crypto Currency ทั้งหมด ส่งผลให้ราคาในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างมาก เช่นเดียวกับประเทศเกาหลีที่เคยเป็นตลาดใหญ่อันดับสามหลังรัฐบาลสั่งห้ามระดมทุน ICO ก็ส่งผลต่อราคาในตลาดโลกเช่นกัน
คนดังพูดถึงในเชิงลบถ้าหากบุคคลระดับสูงในแวดวงการเงินหรือการธนาคาร หรือนักลงทุนรายใหญ่ออกมาให้ความเห็นถึง Crypto Currency ในเชิงลบก็จะส่งผลต่อราคาเช่นกัน ตัวอย่างเช่น วอเรน บัฟเฟต นักลงทุนวีไอชื่อดังเคยออกมาให้ความเห็นถึงเงินดิจิทัลว่าสุดท้ายจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีค่า ทำให้ราคา Bitcoin ร่วงลงแรงไปเช่นกัน
การเทรด Crypto Currency ให้มีกำไรจึงต้องอาศัยปัจจัยทางเทคนิคหรือการอ่านกราฟเป็นหลักและจำเป็นต้องมีวินัยในการซื้อขายอย่างเคร่งครัดเพราะเป็นสินค้าที่มีความผันผวนค่อนข้างสูง