Image Courtesy: Chaintalk.tv
Tone Vays เป็นอีกหนึ่งคนดังในวงการคริปโตเคอเรนซี่ที่ได้รับการยอมรับและนับถือกันในวงกว้าง เขามีพื้นฐานมาจากทำเนียบ Wall Street โดยผ่านประสบการณ์ทำงานอย่างโชกโชนให้แก่บริษัทการเงินชื่อดังอย่าง Bear Stearns และ JP Morgan Chase ก่อนที่จะก้าวเข้ามาในวงการบิทคอยน์อย่างเต็มตัว หากใครเคยได้ติดตามนาย Tone Vays ก็จะทราบดีถึงซิกเนอเจอร์ของเขาในการใช้อินดิเคเตอร์ TD Sequential เพื่อวิเคราะห์ราคา ทั้งมุมมองที่ค่อนข้างอิงอยู่กับความจริง จนหลาย ๆ คนกล่าวหาว่าเขาเป็น Perma-Bear (แช่งลงทั้งปี ไม่เคยเชียร์ขึ้น)
ในระหว่างงาน Crypto Asia Summit ปี 2020 ที่ถูกจัดขึ้นในรูปแบบงานสัมนาออนไลน์ นาย Tone ได้สลัดคราบนักวิเคราะห์เทคนิกแบบที่เราคุ้นชินออกชั่วคราว และหันมาพูดถึงปัจจัยพื้นฐานและประวัติของบิทคอยน์ให้แก่ผู้รับชมได้ฟัง
Tone เริ่มเปิดประเด็นการสัมนาโดยเล่าว่าเขาเคยได้ยินเกี่ยวกับบิทคอยน์ครั้งแรกในปี 2010 และยังเสียใจจนถึงทุกวันนี้ที่ไม่ได้ลองซื้อเก็บไว้ตั้งแต่ตอนนั้น จากนั้นเขาก็เล่าไปถึงเหตุการณ์ในปี 2011 ที่ทำให้ผู้คนค้นพบประโยชน์ของการใช้งานบิทคอยน์ครั้งแรก ที่เว็บไซต์ตลาดมืดออนไลน์อันโด่งดังที่มีชื่อว่า Silk Road เนื่องจากบิทคอยน์เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนที่ไม่สามารถถูก”เซ็นเซอร์” หรือปิดกั้นได้ จึงแพร่หลายและโด่งดังขึ้นอย่างรวดเร็วในหมู่อาชญากรและนักท่อง Deep Web
ต่อมาในปี 2013 มีเหตุการณ์สำคัญอีกอย่างเกิดขึ้นที่ทำให้เขาก้าวเข้ามาสนใจในตัวบิทคอยน์อย่างจริงจังนั่นก็คือ การที่รัฐบาลของไซปรัสสั่งอายัดบัญชีธนาคารของประชาชนทั้งหมดและ”เก็บภาษี”บัญชีเงินฝากที่มีมูลค่ามากกว่า 1 แสนยูโรของประชาชนทุกคนด้วยอัตราที่สูงถึง 50% Tone ให้ความเห็นว่ามีเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้เกิดขึ้นหลายครั้งแล้วในอดีต ไม่ว่าการที่สหรัฐฯสั่งยึดทองคำทั้งหมดจากประชาชนในปี 1933 หรือระหว่างวิกฤตการเงินยุโรปในปี 2009 โดยรัฐบาลและธนาคารประเทศกรีซไม่อนุญาตให้ประชาชนถอนเงินของตัวเองออกมาจากธนาคารเกินมูลค่าที่กำหนดไว้ เหตุการณ์ปล้นกันซึ่ง ๆ หน้าของเหล่ารัฐบาลนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Tone หลงไหลในบิทคอยน์จากการที่มันไม่สามารถถูกยึดเอาไปได้ง่าย ๆ และเป็นสินทรัพย์เดียวที่ให้ผู้เป็นเจ้าของมีอำนาจเต็มในการควบคุมโดยไม่ต้องไปฝากชีวิตไว้กับใครคนใดคนหนึ่งอย่างเงินสดหรือทองคำ
Image Courtesy: Chaintalk.tv
นาย Tone ยังได้เล่าต่อไปอีกถึงอีกหนึ่งคุณสมบัติสำคัญของบิทคอยน์คือการที่มันมีอยู่อย่างจำกัดและไม่สามารถผลิตเพิ่มได้ โดยเขายกตอนหนึ่งของหนังสือ The Bitcoin Standard ที่เขียนโดยนาย Saifedean Ammous โดยมีใจความว่า
“เงินในรูปแบบใด ๆ บนโลกนี้ เมื่อมีมูลค่าสูงขึ้น ผู้ที่มีอำนาจควบควมในการผลิตเงินนั้นจะหาทางผลิตมันออกมาเพิ่มเสมอ ไม่ว่าจะเป็นหิน Rai Stone (หินยักษ์มีรูตรงกลาง ใช้แทนเงินบนเกาะแยป) เปลือกหอย แร่เงิน ทองคำ ทองแดง หรือแม้แต่เงินที่ออกโดยรัฐบาล ผู้มีอำนาจเหล่านั้นจะมีสิ่งจูงใจให้ผลิตขึ้นมาเพิ่มอย่างมิอาจห้ามได้”
เขาอธิบายต่อไปว่า “บิทคอยน์ ซึ่งถือเป็น Hard Money (เงินที่ไม่สามารถถูกปรุงแต่งหรือผลิตเพิ่มได้ง่าย ๆ) ที่มีจำนวนจำกัดอย่างแท้จริง นี่คือความแตกต่างของมันกับเงินในรูปแบบอื่น ๆ”
นอกจากนี้ Tone ยังชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคและจุดอ่อนของบิทคอยน์ที่ต้องก้าวผ่านไปให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรองรับการทำธุรกรรมที่มากขึ้นในอนาคต (Scalability) หรือความเป็นส่วนตัวในการใช้งาน (Privacy) ซึ่ง ณ ขณะนี้เหล่านักพัฒนากำลังเร่งแก้ไขผ่านการสร้างเทคโนโลยีใหม่มาครอบ (Second Layer Solutions) หรือการอัพเกรดระบบ (Soft Fork)
อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่าปัญาใหญ่ที่สุดของบิทคอยน์อันเป็นอุปสรรคต่อการใช้งานของคนทั่วไปก็คือ ความผันผวนที่สูง (Volatility) และการเก็บรักษาบิทคอยน์ให้ปลอดภัย (Coin Security) ที่ยังค่อนข้างซับซ้อนและยุ่งยากเกินกว่าที่คนทั่วไปจะใช้งานได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก แม้ในปัจจุบัน ความผันผวนของบิทคอยน์จะค่อย ๆ ต่ำลงเรื่อย ๆ แต่มันก็ยังขึ้นลงรุนแรนเกินไปที่จะนำไปเป็นเครื่องมือในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และกระเป๋าเก็บเหรียญต่าง ๆ (Hardware Wallet) ก็ยังไม่ได้ถูกพัฒนาให้ใช้งานง่ายจนคุณลุงคุณป้าก็สามารถใช้ได้
Image Courtesy: Chaintalk.tv
เมื่อถูกถามถึงความเห็นของเขาต่อการที่บิทคอยน์ร่วงลงอย่างรุนแรงเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Tone ยอมรับว่าเขาไม่สามารถให้คำตอบได้ตรง ๆ เหมือนกันว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้น แต่เขายังเชื่อว่าบิทคอยน์นั้นยังมีความสัมพันธ์ทางราคากับตลาดหุ้นอยู่มาก จึงได้รับผลกระทบที่คล้ายกันจากความกังวลในโรคระบาด COVID-19 เขาได้อธิบายต่อไปอีกว่า “ราคาไม่ได้ดิ่งจากเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แต่มันเกิดขึ้นเพียงเพราะว่าไม่มีใครยอมซื้อในราคานั้น ๆ แล้วก็แค่นั้นเอง”
อย่างไรก็ตาม Tone เผยว่าหลังจากที่ราคาของบิทคอยน์ดิ่งลงมาในวันที่ 13 มีนาคม และไปทำจุดต่ำสูงในระดับที่สูงกว่าครั้งก่อนได้ เขากลับมามองบิทคอยน์ในแง่บวกทันทีหลังจากที่เขามองบิทคอยน์เป็นขาลงมาตลอดตั้งแต่ยอดดอยเมื่อต้นปี 2018
ผู้เข้าร่วมสัมนารายหนึ่งได้ถาม Tone ว่า เขามีความคิดเห็นอย่างไรต่อราคาของบิทคอยน์ ณ ปัจจุบันนี้ Tone เผยว่าเขายังมองบิทคอยน์เป็นขาขึ้นอยู่ เพียงแต่เราถูกกดด้วยแนวต้านสำคัญที่ 10,000 ดอลลาร์อยู่เท่านั้น
“หากบิทคอยน์ทะลุผ่านแนวต้านทางจิตวิทยาที่สำคัญนี้ไปได้ มันจะสามารถพุ่งขึ้นไปสู่ระดับ 12,000 ดอลลาร์ได้อย่างรวดเร็ว” เขาอธิบายเพิ่มเติม
ปัจจุบัน Tone Vays เดินทางไปทั่วโลกเพื่อจัดงานสัมนาให้ความรู้เกี่ยวกับบิทคอยน์และสอนการใช้อินดิเคเตอร์ TD Sequential ของเขา นอกจากนี้ Tone ยังจัดรายการบนช่อง YouTube เกี่ยวกับการวิเคราะห์ราคาของบิทคอยน์และสินทรัพย์อื่น ๆ อยู่เป็นประจำอีกด้วย
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง: ผู้แต่ง ‘พ่อรวยสอนลูก’ เตือน! เงินกระดาษจะไร้ค่า อยากรอดให้ซื้อทองคำและบิทคอยน์