ในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดคริปโตเคอเรนซี่โดยเฉพาะวงการ DeFi ต้องเจอกับความเงียบเหงาเหมือนกรุงเทพในวันสงกรานต์ หลาย ๆ โปรเจกต์ที่เคยฮอตในเดือนก่อนหน้ากลับถูกเทขายกลายเป็นสีแดงและก็ดูเหมือนจะยังไม่มีท่าทีหรือโทเคนใหม่ ๆ ที่จะสามารถออกมาจุดกระแส DeFi ที่เคยฮิตยิ่งกว่าคริสปี้ครีมให้กลับมาโชติช่วงได้อีกครั้งหนึ่ง
ตลาด DeFi สุดหรรษา
เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ ตลาด DeFi ไม่เคยว่างเว้นจากความตื่นเต้น เหรียญสาย DeFi แย่งกันชิงพื้นที่ความสนใจของนักลงทุนไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็น ChainLink (LINK) ที่พุ่งทำจุดสูงสุดตลอดกาลที่ระดับ 20 ดอลลาร์ หรือ Aave (LEND) สุดยอดม้ามืดที่ให้ผลตอบแทนหลักหมื่นเปอร์เซนต์ในปี 2020 โปรเจกต์ Yearn.Finance ที่สร้างเสียงฮือฮาจากการเป็นคริปโตเคอเรนซี่ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก แตะเหรียญละ 1.4 ล้านบาท!! หรือจะเป็น SushiSwap (SUSHI) และ UniSwap (UNI) โทเคน Governance ของแพลตฟอร์ม DEX ที่ชวนหิวอาหารญี่ปุ่นตลอดเวลา
อยู่ดี ๆ ก็หาย ตายไม่บอก
แต่ทั้งหมดนั้นอยู่ ๆ ก็เงียบหายไปดื้อ ๆ เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เห็นได้ชัดที่สุดก็จากดัชนีใหม่ของ Binance ภายใต้ชื่อ DeFi Composite Index ที่รวบรวมโทเคน DeFi ต่าง ๆ มามัดรวมใส่ตระกร้าเป็นดัชนีเดียว ประกอบไปด้วยโปรเจกต์ดัง ๆ ทั้ง Band Protocol (BAND), Kava (KAVA), Compound (COMP), Kyber Network (KNC), Aave (LEND), Chainlink (LINK), Maker (MKR), Synthetix (SNX), Swipe (SXP) และ 0x (ZRX) ล้วนร่วงยาวมาแตะจุดต่ำสุดที่ 500 จุด ลดลงถึง 58% จากจุดสูงสุดที่ 1,189 จุด
อ้างอิงจากข้อมูลของ CoinGecko ในสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม โทเคน DeFi ต่างปักหัวลงโดย LINK ลดลง 7.1% LEND ลดลง 7.6% SNX ลดลง 17.1% COMP ลดลง 7.5% ZRX ลดลง 9.6% KNC ลดลง 9.1% และ BAND ลดลง 9.8% โดยมีเพียง MKR เท่านั้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10%
ส่วนโทเคน DeFi ที่ไม่ได้อยู่ในดัชนีของ Binance ก็ไม่ได้มีโชคชะตาที่ดีไปกว่ากันซักเท่าไหร่ UniSwap (UNI) ร่วงลงมากกว่า 50% จากจุดสูงสุดที่ 8.40 ดอลลาร์เหลือเพียง 3.17 ดอลลาร์ SUSHI นั้นไม่ต้องพูดถึง มูลค่าลดลงกว่า 90% ร่วงจากระดับ Omakase เป็นซูชิตลาดนัดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และ Yearn.Finance เหรียญ DeFi แรก ๆ ของตลาดก็เบรคดาวน์ลงจาก Head and Shoulder แพทเทิร์นและยังไม่สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้ ราคาซื้อขายอยู่ที่ระดับ 18,500 ดอลลาร์ มูลค่าลดลง 58% จากจุดสูงสุดตลอดกาล
กฎระเบียบมาแน่
ในด้านกฎระเบียบละข้อบังคับนั้น แม้จะยังไม่มีการเข้ามาจัดระเบียบหรือเอาผิดกับโปรเจกต์ DeFi แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ช้าหรือเร็ว โปรเจกต์เหล่านี้จะต้องโดนสำนักงาน SEC และ CFTC ของสหรัฐฯเข้ามาเอาผิดในฐานที่ทำผิดกฎหมายของสหรัฐฯในการเสนอขายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนแก่นักลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างแน่นอน
สรุป
DeFi จะมาเร็วเคลมเร็วหรือไม่? หรือจะยังมีช่องทางให้มันเติบโตต่อไปได้อีก? ทางเราเชื่อว่านักลงทุนยังไม่เข็ดกับการลงทุนชนิดนี้แม้จะมีข่าวดราม่าออกมาให้ได้เห็นกันอยู่ตลอด ประกอบกับการที่ DeFi ค่อนข้างจะซับซ้อนและเข้าใจยากกว่า ICO ที่เคยบูมในปี 2017 ส่งผลให้คนที่ลงทุนใน DeFi แล้วส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนหน้าเก่าที่มีความเชี่ยวชาญในคริปโตเคอเรนซี่ในระดับหนึ่ง หากในอนาคตกระแส DeFi สามารถจุดติดกับเหล่านักลงทุนและประชาชนทั่วไปได้เมื่อไหร่ นั่นแหละจะกลายเป็นฟองสบู่ขนาดมหีมาที่แท้จริง
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง: Bitcoin ยังคงความสำคัญต่อตลาดคริปโตแม้ไม่เร้าใจเท่า DeFi