- ผลประกอบการไตรมาสสองของเอกชนจะเผยให้เห็นว่าราคาของบิทคอยน์ที่ลดลงล่าสุดจะมีผลกระทบต่อผู้สนับสนุนระดับองค์กรที่มีสกุลเงินดิจิทัลในงบดุลมากน้อยเพียงใด
- นักลงทุนจำเป็นต้องมองบิทคอยน์ในระยะยาว หากต้องการเทียบความสำเร็จของผู้สนับสนุนระดัลองค์กรด้วยสกุลเงินดิจิทัล
ขณะที่รายการในงบดุลดำเนินไป ก็เป็นที่เข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ว่าทำไม CFO และผู้บริหารด้านการเงินส่วนใหญ่อาจหยุดนิ่งที่จะใส่สินทรัพย์บางตัวจำนวนมากที่มีความผันผวนเช่น บิทคอยน์ ไว้ในบัญชี
และ บรรดา CFOs ที่มองหาเหตุผลสำหรับกระดานการลงทุนของพวกเขาว่าทำไมถึงคิดว่าการเพิ่มบิทคอยน์ เข้าในกองทุนของตนอาจเป็นความคิดที่ไม่ดีนัก เมื่อผู้สนับสนุนคริปโตเคอร์เรนซีในกลุ่มองค์กรรายใหญ่หันมารายงานผลประกอบการรายไตรมาสกันก่อน
ไล่เรียงตั้งแต่ เทสลา ไปจนถึง MicroStrategy เหล่าผู้สนับสนุนบิทคอยน์รายใหญ่เหล่านี้จะต้องคำนึงถึงการถือครองบิทคอยน์ของพวกเขาเนื่องจากมูลค่าบิทคอยน์ในไตรมาสที่สองลดลง 41% หลังจากไต่ระดับสูงถึง 64,000 ดอลลาร์สหรัฐในเดือนเมษายน และร่วงลงอย่างหนักในเดือนพฤษภาคม
ทั้งนี้ ในขณะที่นักวิเคราะห์หลายคนคาดหวังให้มีการลดราคาลงอย่างมาก แต่ก็ยังมีโอกาสที่บริษัทจำนวนหนึ่งที่มีบิทคอยน์อยู่ในพอร์ทของพวกเขาก็จะคริปโตเคอร์เรนซีได้ในราคาที่สูงกว่าที่พวกเขาซื้อมา
สำหรับบริษัทอย่าง เทสลา การถือครองบิทคอยน์ทำให้เกิดความว้าวุ่นใจมากกว่าสิ่งอื่นใด เพราะนักลงทุนสนใจตัวเลขยอดขายรายไตรมาสมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมีการเรียกคืนรถยนต์จำนวนมากในจีน ซึ่งกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเช่นเดียวกันสำหรับบริษัทอย่าง MicroStrategy
ต้องยอมรับว่า จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ มีเพียงไม่กี่คนที่เคยได้ยินชื่อ MicroStrategy ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ระดับองค์กรที่มียอดขายและผลประกอบการปานกลางมาหลายปี จนกระทั่ง Michael Saylor ผู้ก่อตั้งและ ซีอีโอของบริษัทตัดสินใจลงทุนบิทคอยน์ทั้งหมด
โดยตั้งแต่นั้นมา MicroStrategy ได้กำไรจากการถือครองบิทคอยน์ และการออกตราสารหนี้ที่ได้รับการสนับสนุนจากบิทคอยน์ ทำให้บริษัทดูเหมือนบริษัท ด้านคริปโตเคอร์เรนซีมากกว่าองค์กรพัฒนาซอฟต์แวร์
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทาง MicroStrategy ได้ใช้จ่ายมากกว่า 2,250 ล้านดอลลาร์สหรัฐในบิทคอยน์ ทว่าไม่ถึง 3 สัปดาห์ต่อมา ก็มีการเตือนถึงการอ่อนค่าลงอย่างน้อย 284.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการถือครองเหล่านั้น ซึ่งรายงานผลประกอบการรายไตรมาสที่อาจสูงขึ้นมากหลังจากบริษัทระดมทุน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อเพิ่มการถือครองบิทคอยน์ ในขณะที่ราคาของบิทคอยน์ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง
ช่วงที่ผ่านมา บริษัททั้งหลายต่างลดสัดส่วนมูลค่าการถือครองบิทคอยน์ในสินทรัพย์ดิจิทัลของตนเอง ถ้าราคาบิทคอยน์ลดลงต่ำกว่าราคาที่ซื้อมา กระนั้น พวกเขาต่างไม่ได้รับอนุญาตให้รับทราบราคาที่ได้กำไรจนกว่าจะมีการขาย ดังนั้นแม้ว่าราคาเฉลี่ยที่จ่ายสำหรับบิทคอยน์อาจต่ำกว่าราคาปัจจุบัน แต่ บริษัทต่างๆ จะต้องบันทึกค่าการด้อยค่าของสินทรัพย์เมื่อตลาดตกต่ำด้วย
ทั้งนี้ เทสลาได้มีการลดสัดส่วนการถือครองบิทคอยน์ไปแล้ว 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทั้งหมด 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม แต่อาจเผชิญกับการตัดลดที่สูงขึ้นในช่วงปลายไตรมาสที่สอง เนื่องจากราคาบิทคอยน์ลดลงต่ำกว่า 29,000 ดอลลาร์สหรัฐภายในสิ้นเดือนมิถุนายน
แต่บรรดาผู้สนับสนุนระดับองค์กรในช่วงแรก อาจจบลงด้วยการได้หัวเราะเป็นคนสุดท้าย เพราะในท้ายที่สุดดแล้ว นักลงทุนทุกคนต่างรู้ว่า คุณต้องซื้อเมื่อราคาลง ไม่ใช่ซื้อตอนราคาไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุด
และในขณะที่มีความเป็นไปได้มากกว่าไม่ได้ว่า บริษัทส่วนใหญ่ที่ถือครองบิทคอยน์จะเป็นต้องดำเนินการตัดลดปริมาณการถือครองบิทคอยน์อย่างมีนัยยะสำคัญในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งความเคลื่อนไหวเพียงแค่หนึ่งไตรมาสย่อมไม่มีผลต่อการลงทุน