ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ความเคลื่อนไหวสำคัญในแวดวงคริปโตที่ได้รับจากจับตามองมากที่สุด ก็คือการอัพเกรดระบบบิทคอยน์ครั้งใหญ่ที่เรียกว่า Taproot โดยเหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นความเคลื่อนไหวสำคัญ เนื่องจากเป็นการอัพเกรดที่แท้จริงครั้งแรกของสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกในรอบ 4 ปี
รายงานระบุว่า การอัพเกรดที่เกิดขึ้นจะทำให้ ความเป็นส่วนตัวและประสิทธิภาพของธุรกรรมได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ ซึ่งจะช่วยปลดล็อกศักยภาพที่มากขึ้นสำหรับสัญญาอัจฉริยะโดยการกำจัดพ่อค้าคนกลางออกจากธุรกรรม
ทั้งนี้ Alyse Killeen ผู้ก่อตั้ง Stillmark กล่าวว่า Taproot มีความสำคัญ เนื่องจากให้โอกาสที่กว้างขึ้นสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการขยายประโยชน์ของบิทคอยน์
โดย Taproot ของบิทคอยน์ได้รับการสนับสนุนในระดับสากล ซึ่งแตกต่างจากการอัพเกรดที่แตกแยกอย่างมากในปี 2560 ส่วนหนึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงการปรับปรุงโค้ดที่เพิ่มขึ้นอย่างเป็นธรรม
นอกจากนี้ อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับลายเซ็นดิจิทัล ซึ่งทำหน้าที่เป็นลายนิ้วมือของแต่ละคนในทุกธุรกรรม
ปัจจุบันสกุลเงินดิจิทัลใช้ระบบที่เรียกว่า “อัลกอริธึมลายเซ็นดิจิทัล Elliptic Curve” ซึ่งสร้างลายเซ็นจากคีย์ส่วนตัวที่ควบคุมกระเป๋าเงินดิจิตอลเข้ารหัส และอนุญาตให้เจ้าของใช้เฉพาะบิทคอยน์เท่านั้น ดังนั้น สิ่งที่ Taproot จะทำคือเพิ่ม “ลายเซ็น Schnorr” ซึ่งทำให้ธุรกรรมหลายลายเซ็นไม่สามารถอ่านได้
แม้จะไม่ได้หมายความว่าที่อยู่บิทคอยน์ส่วนบุคคลของผู้ใช้งานแต่ละคนจะไม่เปิดเผยตัวตนมากขึ้นในบล็อกเชนสาธารณะ แต่ก็สามารถแยกความแตกต่างของธุรกรรมแบบง่าย ๆ และธุรกรรมที่ซับซ้อนด้วยหลายลายเซ็นได้ เนื่องจากกุญแจของผู้ใช้งานจะได้รับการเปิดเผยน้อยลงในบล็อคเชน ดังนั้นจึงหมายถึงความเป็นส่วนตัวที่มีมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ลายเซ็นที่ได้รับการปรับปรุงยังนำไปสู่การปรับปรุงสำหรับสัญญาอัจฉริยะ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ดำเนินการด้วยตนเองบนบล็อคเชน ขอบคุณ Taproot ทำให้สัญญาอัจฉริยะมีราคาถูกลงและเล็กลงกว่าที่เคย
จนถึงปัจจุบัน ความสามารถในการสร้างสัญญาอัจฉริยะ หรือ smart contract บนเลเยอร์โปรโตคอลหลักของบิทคอยน์ และบนเครือข่าย Lightning ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการชำระเงินที่ช่วยให้ทำธุรกรรมได้ทันทีและมีค่าใช้จ่ายน้อยลง
ทั้งนี้ แต่เดิมการอัพเกรดเดิมมีกำหนดในเดือนมิถุนายน แต่ก็มีปัจจัยให้ต้องเลื่อนมาดำเนินการในเดือนพฤศจิกายนในที่สุด โดยรายงานระบุว่า ระยะเวลาที่ล่าช้าถูกนำไปใช้กับการทดสอบและลดโอกาสที่จะเกิดความผิดปกติระหว่างการอัพเกรด