ที่ผ่านมาการซื้อขายเงินดิจิทัลเป็นเวทีของนักลงทุนบุคคลเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นรายย่อยหรือรายใหญ่ (ที่เราเรียกกันว่าวาฬ) แทบไม่มี นักลงทุนสถาบัน เข้ามาในสนามนี้เลย
ปล. นักลงทุนสถาบันหมายถึง สถาบันการเงินที่รวบรวมเงินของรายย่อยมาลงทุนต่ออีกที ไม่ว่าจะเป็นเฮดจ์ฟันด์ บริษัทจัดการกองทุน กองทุนบำเหน็จบำนาญ กองทุนเพื่อการเกษียน ฯลฯ
การที่นักลงทุนสถาบันไม่เข้ามาในตลาดนี้ นอกจากไมนด์เซตแล้วยังมีเรื่องของประเด็นทางกฎระเบียบที่เคร่งครัด กล่าวคือกฎหมายในหลายประเทศยังไม่อนุญาตให้นำเงินของนักลงทุนไปลงทุนในเงินดิจิทัล
แต่การที่ตลาด CME ซึ่งเป็นตลาดอนุพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเปิดให้ซื้อขายตราสารอนุพันธ์ของบิทคอยน์ในปี 2017 ถือเป็นช่องทางให้นักลงทุนสถาบันเข้ามาในตลาดนี้ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นการซื้อเงินดิจิทัลโดยตรงในตลาด Spot
ล่าสุด CME ได้เปิดเผยตัวเลขของการเปิดสถานะในตราสารอนุพันธ์บิทคอยน์จำนวน 10,792 สัญญา ในวันที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา หรือสองวันหลังจากเกิด Bitcoin Halving ทำให้ยอดรวมอยู่ที่ 53,960 สัญญา สร้างสถิติใหม่อีกครั้งหนึ่ง
CME ยังรายงานด้วยว่า วันที่ 4 พฤษภาคม ได้มีการเปิดสัญญาฟิวเจอร์สขนาดใหญ่ถึง 66 สัญญา เป็นสัญญาณการเข้ามาของ นักลงทุนสถาบัน
ขณะเดียวกันปริมาณการซื้อขาย Bitcoin Options ในตลาด CME ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญโดยเฉพาะผู้ที่เปิดสัญญา Call Options หรือเก็งว่าราคาบิทคอยน์จะเป็นขาขึ้น
การที่อัตราเงินเฟ้อมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นจากการทำคิวอีอย่างไม่มีวงเงินจำกัดของธนาคารกลางสหรัฐฯและอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำติดดิน ท่ามกลาง Real Sector ที่ยังไม่รู้จะฟื้นตัวเมื่อไร เป็นงานยากที่ผู้จัดการกองทุนจะต้องหาสินทรัพย์การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดี
ทองคำและ Bitcoin จึงเป็นทางเลือกที่ถูกจับตาว่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีในปีนี้และดูเหมือนว่า Bitcoin จะมีผลตอบแทนที่ชนะทองคำไปแล้ว
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง : ผลตอบแทน YTD ปี 2020 ของบิทคอยน์มากกว่าทองคำถึงเท่าตัว ทิ้งห่างตลาดหุ้นไม่เห็นฝุ่น
หากนักลงทุนสถาบันทั้งโลกแบ่งเงินเพียง 1% จากพอร์ตลงทุนรวมที่ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆมาลงทุนใน Bitcoin ก็เพียงพอแล้วที่จะดันราคาให้สร้างจุดสูงสุดใหม่ เพราะมาร์เกตแคปของ Bitcoin นั้นเทียบเท่ากับหุ้นเทคโนโลยีดีๆตัวหนึ่งในตลาด NASDAQ เท่านั้น รายย่อยทั่วโลกต้อรอคอยความหวังนี้ว่าจะเกิดขึ้นได้ไหม
อ่านเพิ่มเติม : การมาของ “หยวนดิจิทัล-ลิบรา” เกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตคนไทย เราควรเรียนรู้อะไรจากมัน
วิเคราะห์ทางกราฟเทคนิค BTC
ระดับ 10,000 ดอลลาร์ยังเป็นแนวต้านสำคัญที่ Bitcoin ต้องผ่านไปให้ได้ จากกราฟในไทม์เฟรม Week จะเห็นว่ามีการทดสอบระดับ 10,000 ดอลลาร์มาสองรอบแล้วยังไม่ผ่าน หากเกิด 3rd Lucky จะถือเป็นสัญญาบวกที่ดี และยังเป็นการทดสอบอีกแนวต้านสำคัญคือเทรนด์ไลน์ขากดที่ลากมาตั้งแต่ต้นปี 2018 อีกด้วย
แต่หากไม่ผ่าน 10,000 ดอลลาร์ อีกรอบ กรอบราคาของ Bitcoin จะเป็นไซด์เวย์กรอบใหญ่ตั้งแต่ 6,000-10,000 ดอลลาร์ ขณะที่โฟกัสในระยะสั้นลงมา สัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งเกิดการ Halving Bitcoin สามารถ Breakout เทรนด์ไลน์ขากดตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้วได้ หากสัปดาห์นี้ยังยืนอยู่ได้จะแสดงถึงโมเมนตัมที่ดี
อ่านเพิ่มเติม : บิทคอยน์-ลิบรา-หยวนดิจิทัล ใครจะได้ปกครองระบบการเงินโลกใหม่