ใครๆ ต่างก็รู้ว่าตลาดคริปโตเคอร์เรนซีกำลังประสบความสำเร็จอย่างมาก ยืนยันได้จากราคาของบิทคอยน์ Ethereum, DeFi token และอื่นๆ อีกมากมายทที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลายเท่าจากราคาที่ย้อนกลับไปเมื่อปี 2020
ปริมาณซื้อขายบนแพล็ตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตที่มีอยู่ต่างเพิ่มขึ้นสูงสุดทำสถิติเป็นประวัติการณ์ ยกตัวอย่างเช่น ปริมาณซื้อขายรายวันของ Binance จากที่อยู่ระหว่าง 1,000-4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในปี 2020 ขณะนี้มีปริมาณซื้อขายเฉลี่ยราว 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
อะไรที่เปลี่ยนไป แน่นอน มีนักลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนในคริปโตมากขึ้น กระนั้น ความนิยมในตลาดคริปโตที่มากขึ้น ทำให้ เทรดเดอร์รายใหญ่ที่มีความซับซ้อนและเฮดจ์ฟันด์จำนวนมากเข้ามา “เล่น” ด้วยเช่นกัน และไม่ต่างจากฝูงฉลามที่กำลังรุมล้อมเหยื่อที่ชุ่มเลือดอยู่ บรรดาเทรดเดอร์มืออาชีพเหล่านี้ต่างประยุกต์ใช้ระบบอัลกอริธึ่ม และกลยุทธ์เชิงปริมาณทั้งหลายในการไปให้ถึงสุดขอบของค่าเฉลี่ย
ทั้งนี้ หนึ่งในกลยุทธ์เก่าแก่ที่นำมาใช้ ก็คือ การทำกำไรระยะสั้น หรือ market short โดยปกติแล้ว พวกเราส่วนใหญ่จะซื้อเมื่อราคาต่ำ และตั้งเป้าขายเมื่อราคาขยับขึ้นจนได้กำไร อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนทีขายสินทรัพย์เพื่อทำกำไรระยะสั้นมักจะขายในครั้งแรกที่ราคาขึ้นสูงและหวังว่าจะซื้อคืนในราคาที่ต่ำลงมา ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ขั้วตรงข้ามกับที่นิยมใช้กันทั่วไป
การทำกำไรระยะสั้นจึงค่อนข้างขัดแย้งกับธรรมชาติการเติบโตของตลาด และสำหรับคนกลุ่มหนึ่ง เทรดเดิอร์ที่กลยุทธ์หลักก็คือการหาทางทำกำไรระยะสั้นจากตลาดมักไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบจากบรรดนักลงทุนระยะยาวสักเท่าไรนัก
อย่างไรก็ตาม การทำกำไรระยะสั้นที่ว่านี้ก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับตลาดทุนที่มีประสิทธิภาพให้สามารถทำงานได้อย่างเป็นระบบ เนื่องจากช่วยในการค้นหาราคา โดยเฉพาะในพื้นที่ของคริปโต ที่มูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นยากที่จะได้มา เนื่องจากหลายๆ โครงการที่มีนั้น มีรายได้ที่น้อยนิดหรือแทบไม่มีเลย หรือต่อให้มี ก็ยังไม่มีข้อกำหนดในการในการรายงานที่บังคับเช่นเดียวกับที่กำหนดในทุนที่มีการกำกับดูแลโดยตลาด
เหล่าเทรดเดอร์ในตลาดคริปโตส่วนใหญ่มักจะซื้อขายโดยอิงข้อมูลในเชิงเทคนิคและข้อมูลในเชิงปริมาณเป็นหลัก ดังนั้น สำหรับใครที่รู้สึกว่าสินทรัพย์ดิจิทัลได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับฟองสบู่อาจตัดสินใจที่จะขายออก กระบวนการที่ว่านี้เปิดทางให้เทรดเดอร์อีกส่วนหนึ่งที่มีแนวคิดตรงกันเข้าเข้าซื้อเพื่อทำกำไรระยะสั้น ซึ่งสถานการณ์ที่ราคากำลังวัดน้ำหนักกันอยู่นี้ช่วยในเรื่องกระบวนการการค้นหาราคา ดังนั้นผลลัพธที่ได้ก็คือ ถ้าเทรดเดอร์ส่วนใหญ่รู้สึกว่า สินทรัพย์มีราคามากเกินจริง เทรดเดอร์ที่เป็นนักลงทุนระยะสั้นก็จะทำในสิ่งที่ทุกคนชื่นชอบด้วยการปรับราคาของสินทรัพย์
ทั้งนี้ หากไม่มี การทำกำไรระยะสั้น ราคาของสินทรัพย์ดิจิทัลก็อาจจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสี่ยงทำให้เกิดฟองสบู่ จนนำไปสู่การปรับฐานราคาที่รุนแรงและเจ็บปวดเอาได้