แม้ตลาดคริปโตในสหรัฐอเมริกาจะมีผู้ใช้มากเป็นอันดับต้น ๆ และถือเป็นหนึ่งในผู้นำของโลก แต่ประเทศอเมริกาก็มีกฎหมายหลายอย่างที่ไม่เอื้อต่อการทำธุรกิจคริปโตเคอเรนซี่เท่าใดนัก และในแต่ละรัฐยังมีกฎข้อบังคับที่แตกต่างกันอีกด้วย
ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2020 สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ (CFTC) ร่วมกับกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ (DOJ) ได้ยื่นเรื่องฟ้อง BitMEX แพลตฟอร์มซื้อขายตราสารอนุพันธ์คริปโตเคอเรนซี่ในข้อหาฝ่าฝืนกฎหมายต่อต้านการฟอกเงินและให้บริการลูกค้าในสหรัฐอเมริกาโดยไม่มีใบอนุญาต
อัยการแห่งรัฐนิวยอร์กยังได้ยื่นฟ้องเจ้าของเว็บเทรดทั้งนาย Arthur Hayes, Ben Delo, Samuel Reed และได้ทำการจับกุมนาย Gregory Dwyer ในข้อหาละเมิดพระราชบัญญัติความลับทางธนาคาร (Bank Secrecy Act) ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดห้าปี
จากข่าวนี้ส่งผลให้ราคาของบิทคอยน์ดิ่งลงทันทีเมื่อเย็นวานที่ผ่านมาจากระดับ 10,900 ดอลลาร์ลงไปถึงระดับ 10,400 ดอลลาร์ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อยในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ทาง BitMEX ได้ออกมาแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยต่อการกระทำของ CFTC และ DOJ โดยชี้ว่า “นับตั้งแต่วันแรกที่เราเริ่มปฎิบัติงาน เราได้ทำตามและเคารพกฎระเบียบของสหรัฐมาโดยตลอด” และอ้างว่าพวกเขาไม่ได้ให้บริการแก่ลูกค้าที่อาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ทาง CFTC ก็ออกมาชี้ว่านั่นไม่ใช่เรื่องจริงและทาง BitMEX ก็ไม่ยอมมาขึ้นทะเบียนกับสำนักงานตราสารอนุพันธ์ของสหรัฐฯ
ขณะที่กระทรวงยุติธรรม (DOJ) อ้างว่า ทาง BitMEX จงใจไม่ปฎิบัติตามกฎหมายต่อต้านการฟอกเงินและยืนยันตัวตน (KYC) ซึ่งเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติความลับทางธนาคาร ทั้งสองหน่วยงานจึงเห็นพ้องว่าเว็บเทรด BitMEX มีการกระทำความผิดต่อกฎหมายจริง
แม้จะมีความกังวลว่าการจับกุมเจ้าของเว็บไซต์ BitMEX จะมีผลต่อการถอนเงิน เนื่องจากทาง BitMEX มีบิทคอยน์อยู่ในครอบครองกว่า 193,000 BTC หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯและการเข้าถึงบิทคอยน์ที่ฝากไว้ล้วนต้องใช้ความยินยอมจากเหล่าผู้บริหาร แต่ทางเว็บเทรดก็ได้ออกมาย้ำให้นักลงทุนมั่นใจว่า การเทรดบนเว็บไซต์จะดำเนินต่อไปแม้จะมีผู้ใช้บางส่วนเริ่มทยอยถอนบิทคอยน์ออกจากเว็บเทรดแล้วก็ตาม
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง: ราคาบิทคอยน์นิ่งท่ามกลางดราม่า KuCoin ถูกแฮกและสัญญา Options 1 พันล้านดอลลาร์หมดอายุ