วันพุธที่ผ่านมา (2 กันยายน) ค่าธรรมเนียมเฉลี่ยนบนเครือข่ายของ Ethereum (ETH) ขึ้นไปแตะ 14.5 ดอลลาร์หรือกว่า 450 บาทต่อหนึ่งการทำธุรกรรม ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงพีคของกระแส ICO เมื่อต้นปี 2018 เลยทีเดียว
แต่ในช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา ตลาดคริปโตโดยรวมและ Ethereum ปรับตัวร่วงลงอย่างรุนแรง โดย ETH ร่วงลงจากจุดสูงสุดในรอบหลายปีเมื่อวันพุธที่ 487 ดอลลาร์ ลงมาเหลือ 370 ดอลลาร์ในวันศุกร์ และร่วงต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ที่ราคาซื้อขายกันอยู่ในระดับ 340 ดอลลาร์
แต่อย่างน้อยในข่าวร้ายก็ยังมีเรื่องดี หลังค่าธรรมเนียมของ ETH ปรับตัวลดลงมาเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน โดยปัจจุบันอยู่ที่เฉลี่ย 3.5 ดอลลาร์ต่อหนึ่งการทำธุรกรรม หรือลดลงกว่า 75% นับตั้งแต่จุดสูงสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อ้างอิงจากเว็บไซต์ BitInfoCharts
ปัจจัยที่ส่งผลให้ค่าธรรมเนียมของ Ethereum พุ่งขึ้นสูงจนน่าตกใจนั้นหลัก ๆ มาจากกิจกรรมและความต้องการใช้บล็อกเชนของ ETH นั้นมีสูงขึ้นโดยเฉพาะเหล่าโปรเจกต์ DeFi ต่าง ๆ ที่ส่วนมากสร้างขึ้นบน Ethereum ทั้งสิ้น โดยนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่โปรเจกต์ DeFi เหล่านี้แล้วมากกว่า 8 พันล้านดอลลาร์
แม้ค่าธรรมเนียมจะลดลงมาบ้างแล้วในขณะนี้ แต่ความหนาแน่นของเน็ตเวิร์กก็ยังคงอยู่ที่ 97.32% และหากความต้องการทะลุความสามารถในการรับมือของระบบเมื่อไหร่ เน็ตเวิร์กของ ETH ก็จะเน่าส่งผลให้ไม่สามารถทำธุรกรรมใด ๆ ได้จนกว่าจะเคลียร์ธุรกรรมเก่า ๆ ออกไปได้เสียก่อน
ความหวังที่สำคัญที่สุดในเวลานี้นั้นดูเหมือนจะอยู่ที่การอัพเกรดเป็น ETH 2.0 ที่เล็งว่าจะเปิดตัวภายในสิ้นปีนี้และขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนทดสอบบน Testnet Madella อยู่เพื่อหาข้อผิดพลาดและสร้างความมั่นใจว่าการเปลี่ยนถ่ายจะเป็นไปได้อย่างราบลื่น
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง: นักพัฒนา Ethereum ระดมความคิด หารือแก้ปัญหาค่าธรรมเนียมแสนหฤโหด