- เป็นที่คาดการณ์กันว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) น่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมในสัปดาห์นี้ นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมลงเหลือศูนย์ในช่วงเริ่มต้นของการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19
- ปัญหาที่นายธนาคารกลางต้องเผชิญคือแม้ในช่วงเวลาที่ดีที่สุด นโยบายการเงินเป็นเครื่องมือที่ตรงไปตรงมาในการครอบงำแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ คือในช่วงเวลาที่เกิดแรงกระแทกจากภายนอก เช่น การบุกรุกซัพพลายเออร์สินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่โดยต่างชาติที่ต่อสู้อย่างไม่มีเงื่อนไข ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจไร้ประโยชน์
ราคาสินค้าทุกสิ่งที่ขยับแพงขึ้นทำให้ชีวิตถูกขับเคี่ยวอย่างมีสีสัน แต่ก็เป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อธนาคารที่ยังคงต้องรับมือกับผลที่ตามมาของต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจนอาจกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ
แล้วบรรดาผู้กำหนดนโยบายจะทำอย่างไร?
เป็นที่คาดการณ์กันว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) น่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมในสัปดาห์นี้ นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมลงเหลือศูนย์ในช่วงเริ่มต้นของการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19
เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดแสดงเจตจำนงของธนาคารกลางระหว่างขึ้นแถลงต่อหน้าสภาคองเกรสเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ด้วยการส่งสัญญาณถึงความพร้อมที่จะเริ่มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้ง แม้ว่ารัสเซียจะบุกยูเครนและผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ตามมา
ทั้งนี้ ทางตลาดได้กำหนดราคาเต็มแล้วในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไตรมาสต่อจุดในเดือนมีนาคม โดยคาดว่าจะมีการประชุมอีก 5 ครั้งจากการประชุมที่เหลืออีก 6 ครั้งในปีนี้ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยหลักของเฟดอยู่ที่ประมาณ 1.5% ในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ซึ่งค่อนข้างต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้เมื่อช่วงต้นปีที่ 2.0 – 2.5 %
และในช่วงเวลานั้นในเดือนมกราคมก็เป็นช่วงที่ทางกองทัพรัสเซียยังไม่ได้บุกยูเครน อีกทั้ง อัตราเงินเฟ้อยังคงเป็นประเด็นที่สำคัญ เพียงว่าสงครามในยูเครนกำลังเบี่ยงเบนความสนใจของหลายฝ่ายจากภาวะเงินเฟ้อ
ปัญหาที่นายธนาคารกลางต้องเผชิญคือแม้ในช่วงเวลาที่ดีที่สุด นโยบายการเงินเป็นเครื่องมือที่ตรงไปตรงมาในการครอบงำแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ คือในช่วงเวลาที่เกิดแรงกระแทกจากภายนอก เช่น การบุกรุกซัพพลายเออร์สินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่โดยต่างชาติที่ต่อสู้อย่างไม่มีเงื่อนไข ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจไร้ประโยชน์
สำหรับนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นไม่สามารถกำหนดราคาโดยได้รับแรงหนุนจากผลกระทบด้านอุปทาน เช่น ความขัดแย้งในยูเครน ซึ่งทำให้ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งสูงขึ้น
อีกทั้งผืนดินที่แสนอุดมสมบูรณ์ของยูเครน ซึ่งโดยปกติแล้วจะหว่านกับข้าวสาลีในช่วงเวลานี้ของปีจะถูกแทนที่ด้วยศพ ระเบิด และขีปนาวุธ ซึ่งจะส่งผลต่อผลผลิตที่จะเก็บเกี่ยวได้ในปีหน้า
ทั้งนี้ ยูเครนถือเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรและสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ เช่นเดียวกับรัสเซีย ซึ่งถูกกีดกันออกจากตลาดโลกนับแต่นั้นมา และไม่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากส่วนกลางใดๆ ในปริมาณที่เพียงพอต่อการขาดแคลนทรัพยากร ตั้งแต่โต๊ะอาหารค่ำไปจนถึงโรงรถทั่วโลก
ราคาอาหารและเชื้อเพลิงที่สูงทำให้ต้นทุนทุกอย่างไม่เฉพาะสำหรับบุคคลทั่วไปเท่านั้น แต่สำหรับบริษัทต่างๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อส่วนต่าง (Margin) ซึ่งเพิ่งจะถือว่าค่อนข้างเข้มข้นพอที่จะรองรับต้นทุนการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้นได้
และเฟดตระหนักดีถึงเรื่องนี้ เนื่องจากการเข้มงวดนโยบายการเงินอย่างรวดเร็วเกินไปในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ทำให้สหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย
อัตราเงินเฟ้ออาจไม่ดี แต่เนื่องจากเฟดไม่สามารถทำอะไรได้มากเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อประเภทนี้อยู่แล้ว ดังนั้น การเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมส่งผลเสียมากกว่าผลดี และไม่น่าเป็นไปได้สูงที่ผู้กำหนดนโยบายจะต้องการภาวะถดถอยเพราะนั่นจะย้อนกลับสิ่งที่พวกเขาทำกับการจ้างงานและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ