คงต้องยอมรับว่าปี 2020 นี้เริ่มต้นมาได้ไม่สวยงามซักเท่าไหร่ ด้วยปัญหาทั้งด้านการระบาดของไวรัสโควิด 19 ที่ไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทาลงในเร็ววัน ส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่สภาวะชะงักงัน และดูเหมือนจะกลายเป็นปัญหาต่อเนื่องแม้วิกฤตไวรัสโคโรนาจะผ่านพ้นไปแล้ว ราคาของบิทคอยน์ร่วงลงมามากกว่า 50% นับตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้กำไรที่สะสมมาตั้งแต่ต้นปีถูกลบหายไปในพริบตา
แม้บิทคอยน์จะมีการรีบาวน์กลับมาจากจุดสวิงโลว์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ราคาก็ยังไม่สามารถทะลุระดับแนวต้านที่ 7,000 ดอลลาร์ไปได้แต่อย่างใด และดูเหมือนการขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ช่างห่างไกลและเลือนลางเหลือเกิน
นักวิเคราะห์ข้อมูลชื่อดัง นาย Willy Woo ได้ออกมาทวีตบนทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขา ว่าหากเราซูมออกมามองในภาพใหญ่แล้ว เมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น หุ้น หรือทองคำ บิทคอยน์ก็ไม่ได้ดูแย่เท่าไหร่นัก และการร่วงลงของราคาในช่วงเดือนที่ผ่านมานั้นเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ เท่านั้น
หมายเหตุ: ดัชนี S&P500 ลงมา 31% ไม่ใช่ 46%
เขาชี้ให้เห็นว่า ขณะนี้บิทคอยน์กำลังจะเผชิญกับบททดสอบครั้งใหญ่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และนี่ก็เป็นช่วงเวลาที่มันจะได้ทดสอบตัวเองว่าสามารถก้าวขึ้นมาเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-Haven Asset) ได้หรือไม่
นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับดัชนี S&P500 และทองคำแล้ว หากนับจากจุดต่ำสุดในรอบ 5 ปีของทั้งสามสินทรัพย์ จะเห็นว่าบิทคอยน์ยังมีการเติบโตได้ดีที่สุด โดยราคาเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดในปี 2015 ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดเมื่อปลายปี 2017 คิดเป็นกว่า 12,000 เปอร์เซนต์เลยทีเดียว
ขณะที่ทองคำ แม้จะได้รับผลกระทบด้านราคาไม่มากนัก แต่กลับให้ผลตอบแทนระยะที่น้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด และในด้านของตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้จะสามารถทำ All-Time-High ได้อย่างต่อเนื่องในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมา แต่วิกฤตโควิด-19 เหมือนจะยิงถูกจุดตายของตลาดทุน ส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจจริงหยุดนิ่ง ตลาดหุ้นทั่วประเทศร่วงลงมากว่า 30% ในช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือน และไม่มีทีท่าว่าจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้ในเร็ววัน จากทั้งตัวเลขว่างงานที่สูงเป็นประวัติการณ์ของสหรัฐฯ และนโยบายบิดเบือนทางการเงินของธนาคารกลางที่อัดฉัดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบ อันดูเป็นจะเป็นวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่ตรงจุด และไม่ยั่งยืนเท่าใดนัก
หลังจากวิกฤตทั้งด้านสาธารณสุขและการเงินครั้งนี้ผ่านพ้นไป เราคงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะภาคธุรกิจและการเงิน โดยระบบดิจิทัลจะยิ่งทวีความสำคัญและมาทดแทนบทบาทการทำธุรกิจและการใช้จ่ายแบบเดิม ๆ ที่ประสบปัญหาอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นความล่าช้า หรือการทำงานที่ขาดช่วง จากการพึ่งพาเทคโนโลยีการทำงานแบบเดิม ๆ และอำนาจการสั่งงานแบบรวมศูนย์มากเกินไป
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง: ผลวิจัยจาก Binance Research เผย ราคา Bitcoin ยังแปรผันตามตลาดหุ้นอยู่