บิทคอยน์ คือสกุลเงินดิจิตอลตัวแรกที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ จนทำให้ทุกคนเข้าใจไปว่า บิทคอยน์ คือทั้งหมดของเงินสกุลดิจิตอล ความจริงแล้วเป็นเพียง “ตัวพ่อ” แห่ง Crypto Currency เท่านั้น โดยเริ่มกำเนิดขึ้นในปี 2008 โดยบุคคลที่อ้างว่าชื่อ Satoshi Nakamoto แต่ถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีใครได้พบตัวเป็นๆของเขาเสียที และมีบุคคลมากมายที่กล่าวอ้างว่าเขาคือผู้สร้าง บิทคอยน์
ช่วงเวลาที่ บิทคอยน์ เกิดขึ้นมา โลกกำลังเกิดวิกฤติ Sub Prime ตลาดหุ้นทั่วโลกถูกเทขายอย่างหนัก คนบางกลุ่มที่ไม่เชื่อมั่นในระบบการเงินแบบเดิมๆจึงมีความคิดที่จะสร้างสกุลเงินดิจิทัลขึ้นมาแทนที่เงินแบบเดิมหรือ Fiat Currency ซึ่งจะพิมพ์แบงก์หรือธนบัตรออกมาได้จะต้องมีสินทรัพย์รองรับ เช่น ทองคำหรือทุนสำรองระหว่างประเทศ ส่วนประเทศไทยใช้ทุนสำรองระหว่างประเทศเป็น Backup พิมพ์แบงก์)
แต่ชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่าง สหรัฐฯ ยูโรโซน รวมถึงญี่ปุ่น ต่างแหกกฎที่ตัวเองกำหนดขึ้นด้วยการพิมพ์เงินออกมาในระบบอย่างไม่มีข้อจำกัด ผ่านนโยบายที่เรียกว่า QE เป็นที่มาที่ทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าอย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก่อนจะกลับมาแข็งค่าหลังเลิกทำ QE นี่คือสาเหตุที่ทำให้เกิดสกุลเงินดิจิทัลที่ไม่อ้างอิงกับระบบการเงินดั้งเดิมขึ้น
ผู้ที่มีคำถามว่า บิทคอยน์ หรือ Crypto Currency มีความน่าเชื่อถือเพียงใด เอาสิ่งใดมาเป็นหลักประกัน คงต้องย้อนถามกลับไปว่าแล้วเงินดอลลาร์สหรัฐฯในเวลานี้มีความน่าเชื่อถือเพียงใด? เพราะพิมพ์ออกมาได้อย่างไม่จำกัดเพียงแค่กรอกตัวเลขลงไปว่าจะพิมพ์แบงก์ออกมาเท่าไร โดยไม่สนใจว่าจะมีหลักประกันหรือไม่
ผู้ที่สนใจเทรดหรือใช้งานบิทคอยน์อยู่ในวันนี้ อาจเรียกได้ว่ามีความเชื่อว่าวันหนึ่งระบบการเงินของโลกจะเปลี่ยนแปลงไป เงินดอลลาร์สหรัฐฯ รวมถึงสกุลอื่นๆ จะหมดความสำคัญลงและเงินสกุลดิจิทัลจะมาแทนที่
ถ้าจะนิยามบทบาทของ บิทคอยน์ ในฐานะของการเป็นเทวา ต้องบอกว่าบิทคอยน์จะเป็นสกุลเงินที่มีอิสระในตัวเอง ไม่มีใครหรือหน่วยงานใดมาแทรกแซงได้ แบบที่ธนาคารกลางทั่วโลกควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน นอกจากนี้ยังสามารถนำมาใช้จ่ายในระบบออนไลน์รวมถึงโอนให้กันได้อย่างสะดวก แทบจะไม่มีต้นทุนค่าธรรมเนียมใดๆ เพราะไม่มีตัวกลางอย่างธนาคารมาเกี่ยวข้อง โดยสามารถทำธุรกรรมผ่านเครือข่ายที่เรียกว่า บล็อกเชน
ส่วนในฐานะของการเป็นซาตาน ปัจจุบันต้องยอมรับว่าราคา Bitcoin ยังไม่มีความเสถียรพอในการที่จะเป็นสกุลเงินหลัก การปรับตัวขึ้นลงในระดับเลขสองหลัก ถือว่ามีความผันผวนสูงกว่าอัตราแลกเปลี่ยนทั่วไปที่ผันแปรเพียงแค่ 1-2% ต่อวัน และผู้ถือBitcoin ส่วนใหญ่ยังอยู่ในกลุ่มเทรดเดอร์ที่ต้องการเก็งกำไรมากกว่าจะถือเพื่อใช้งานจริง ยังไม่นับอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีการแฮค Bitcoin ให้เห็นกันอยู่
เวลาที่พูดถึง Crypto Currency ทุกคนมักต้องพูดถึงชื่อของ Bitcoin ขึ้นมาเป็นอันดับแรก เผลอๆจะรู้จักอยู่สกุลเดียวเสียด้วยซ้ำ ทั้งที่จริงแล้วในโลกนี้มี Crypto Currency อีกจำนวนมาก แต่ Bitcoin ก็ยังเป็นตัวพ่อของบรรดาเหรียญดิจิทัลทั้งหมดอยู่ดี นั่นเป็นเพราะเวลานี้ Bitcoin มีสถานะที่ “ใกล้เคียง” กับการเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนระหว่างเงินและสินค้าได้ดีที่สุด เห็นได้จากร้านค้าที่รับชำระด้วยเงินดิจิทัลส่วนใหญ่จะอ้าแขนรับ Bitcoin
อธิบายให้ง่ายที่สุด ให้มองว่า Bitcoin คือ “ทองคำ” ในยุคดิจิทัล นั่นเอง และทองคำคือสิ่งที่นำมาใช้แลกเปลี่ยนสินค้าและบริการได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์การเงินของโลก จนกระทั่งถูกแทนที่ด้วย Fiat Currency หรือธนบัตร เหรียญเงิน ในปัจจุบัน โดยทองคำถูกลดความสำคัญในการเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนลง ก็เพราะธนาคารกลางหลักๆของโลกอย่าง สหรัฐฯ ยุโรปและญี่ปุ่น พิมพ์เงินออกมาด้วยตัวเอง โดยไม่ใช้ทองคำมาเป็น Backup อีกแล้ว