ช่วงเวลานี้นักลงทุนและคนในวงการคริปโตฯต่างกำลังจดจ้องการมาถึงของ Ethereum 2.0 ที่มีกำหนดเริ่ม Phase 0 ภายในปีนี้ ซึ่งการอัพเกรดดังกล่าวจะช่วยแก้ปัญหาทั้งด้านความปลอดภัย และสามารถรองรับจำนวนการทำธุรกรรมที่มากขึ้นได้
นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับการเปลี่ยนระบบเป็นแบบ Proof-of-Stake ที่เปิดให้ผู้ถือเหรียญ ETH ทำการ Stake เพื่อรับผลตอบแทนจากการอาสาเป็นผู้ดูแลระบบ (Validator) อีกด้วย ซึ่งจากการสำรวจเบื้องต้นพบว่า แฟน ๆ ของ Ethereum กว่า 66% มีความประสงค์จะทำการ Stake เหรียญเมื่อ ETH 2.0 มาถึง นี่เป็นการสร้างโอกาสการทำกำไรแบบ Passive Income อีกช่องทางหนึ่งแทนที่การเทรดเหรียญเพียงอย่างเดียว
อ่านเพิ่มเติม: ใครไม่ Stake ฉันจะ Stake! นักลงทุนแห่ตุน Ethereum รอทำ Staking
แม้การอัพเกรดครั้งนี้จะดูเหมือนเป็นการวางอนาคตที่สดใสให้แก่ระบบและคนในแวดวงของ Ethereum แต่มันก็อาจมีแง่ลบที่หลายคนอาจมองข้ามไปเช่นกัน
User Error เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ปัจจัยเสี่ยงข้อแรกนั้นดูเหมือนจะหนีไม่พ้นเรื่องของข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้จากตัวผู้ใช้งานเอง โดยอาจมีสาเหตุจากการขาดความรู้ที่เพียงพอต่อการทำ Staking และการเก็บรักษากุญแจเข้าออกบัญชีที่ทำการ Stake ไว้อยู่ จนอาจทำให้สูญเสียเหรียญ ETH ไปจากความผิดพลาดทางเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้
นอกจากนี้ การย้ายเหรียญจากบล็อกเชนของ Ethereum 1.0 ไปยัง Ethereum 2.0 เพื่อเริ่มทำการ Stake นั้นแม้จะถูกออกแบบให้มีขั้นตอนที่เข้าใจง่ายและไม่ซับซ้อน แต่ก็มีโอกาสเกิดการผิดพลาดและทำให้ผู้ใช้สูญเสียเหรียญไปได้เช่นกัน แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลนักเนื่องจากเว็บเทรดส่วนใหญ่จะทำการอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ในส่วนนี้เหมือนตัวอย่างเช่นการ Hardfork ของบิทคอยน์ที่ทางเว็บเทรดมักทำการ Token Snapshot และแจกจ่ายเหรียญ Fork ให้แก่ผู้ใช้โดยอัติโนมัติ
อ่านเพิ่มเติม: Binance และบริษัทคริปโตอื่น ๆ ตบเท้าเข้าร่วมทดสอบการทำ Staking ETH 2.0 กับ ConsenSys
ผลตอบแทนที่ได้อาจไม่คุ้ม
ปัจจัยต่อมาคงเป็นการที่ผลตอบแทนจากการทำ Staking นั้นอาจไม่สูงอย่างที่คิด ยิ่งเมื่อมีคนให้ความสนใจทำการ Staking มาก ผลตอบแทนที่ได้ก็จะน้อยลงไปเป็นเงาตามตัว โดยอาจต่ำถึง 1.56% ต่อปี
นี่อาจดูเหมือนไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะยังไง ๆ เราก็ได้เงินอยู่ดี แต่อย่าลืมว่าราคาของ Ethereum นั้นมีการสวิงขึ้นลงตลอดเวลา และระหว่างที่ทำการล็อกเหรียญเพื่อ Stake นั้น เราไม่สามารถนำเหรียญของเราออกมาขายได้ทันทีหากราคาเกิดการร่วงลงอย่างรุนแรง นั่นความหมายว่า ราคาของ ETH ที่ลดลงอาจไปหักล้างกำไรจากการทำ Staking จนส่งผลให้เราขาดทุนได้เสียอย่างนั้น
นักขุดเข้าตาจน
เหล่านักขุดก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะได้รับผลโดยตรงจากการเปลี่ยนระบบ Proof-of-Work มาเป็น Proof-of-Stake อย่างแน่นอน หลังจากการขุดด้วย PoW ถูกแทนที่ด้วย PoS นักขุดทั้งหมดต้องยอมแพ้และจำใจขายเครื่องขุดของพวกเขาทิ้งในราคาถูกเพื่อนำเงินมาซื้อ Ethereum และทำการ Stake บนระบบใหม่ต่อไป หรือไม่ก็ต้องออกจากวงการนี้ไปตลอดกาล
แฮกเกอร์ยังคงคอยหลอกหลอน
จากข้อมูลการโจมตีระบบบล็อกเชนในอดีตทำให้เราเห็นว่า โค้ดที่ผิดพลาดหรือมีช่องโหว่แต่เพียงน้อยนิดก็เพียงพอแล้วที่จะให้เหล่าอาชญากรและแฮกเกอร์เข้ามาโจมตีระบบและขโมยสินทรัพย์ดิจิทัลของเราไป การทำ Staking ผ่าน Staking Pool ก็มีความเสี่ยงเช่นเดียวกับการฝากเหรียญของเราไว้บนเว็บเทรดหรือ Exchange ต่าง ๆ ที่มักตกเป็นเป้าของเหล่าแฮกเกอร์และมีข่าวออกมาเสมอ ๆ ถึงความล้มเหลวในการป้องกันและถูกขโมยเงินไปนับครั้งไม่ถ้วน
นอกจากนี้ การเข้าร่วม Staking Pool โนเนมก็ทำให้เกิดความเสี่ยงถูกหลอกเอาเงินทั้งหมดไปได้เช่นกัน เพราะ Scam เหล่านี้เกิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วนในอดีต โดยวิธีการของพวกมันยังคงเดิม โดยจะหลอกล่อนักลงทุนที่ไม่มีประสบการณืให้หลงเชื่อโดยการเสนอผลตอบแทนที่ดีเกินจริงอย่างเช่นกรณี Bitconnect ที่โด่งดังเมื่อปี 2017 นั่นเอง
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง: มุมมองของ Vitalik Buterin ต่ออนาคตของ Ethereum และ DeFi ท่ามกลางวิกฤตในปัจจุบัน