นักลงทุน Bitcoin ส่วนใหญ่ในเวลาคงจะใจชื้นกันอยู่ไม่น้อยหลังจากที่ราคาปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และนี่คือสามอินดิเคเตอร์สำคัญที่ช่วยชี้ว่าเหล่า Bitcoin HODLers ส่วนใหญ่มีกำไรหรือไม่ ตื่นตกใจอยู่หรือเปล่า และมีความสุขกับการลงทุนของพวกเขาไหม
อินดิเคเตอร์แรกนั้นมีชื่อว่า Spent Output Profit Ratio หรือ SOPR ที่ช่วยให้เห็นภาพว่านักลงทุน Bitcoin นั้นมีกำไรมากแค่ไหน โดยคำนวนหาอัตราส่วนระหว่างคนที่ขาดทุน/กำไร โดย 1 หมายถึงว่ามีผู้ที่ขาดทุนและกำไรพอ ๆ กัน และตัวยิ่งมากกว่า 1 เท่าไหร่หมายความว่ามีอัตราส่วนของคนที่มีกำไรมากกว่าคนที่ขาดทุนนั่นเอง
โดยวิธีการคำนวนหา SOPR นี้จะใช้ตัวเลขราคาล่าสุดที่ Bitcoin นั้นมีการเคลื่อนไหวมาหารกับตัวเลขราคา ณ จุดที่มีการรับ Bitcoin นั้นเข้ามาครั้งแรก ซึ่งในปัจจุบันนี้ ค่า SOPR ที่อ้างอิงจาก Glassnode ชี้ว่าผู้ถือ BTC ที่มีกำไรนั้นมีมากกว่าผู้ที่ขาดทุนเนื่องจากค่าตัวเลขอยู่ที่ระดับ 1.0062 นั่นเอง
อินดิเคเตอร์ที่สองก็คือ Moving Profits and Losses ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับอินดิเคเตอร์แรกอย่าง SOPR แต่จะวัดค่าเฉลี่ยของทั้งผู้ที่ขาย Bitcoin เท่านั้น (ขณะที่อินดิเคเตอร์ SOPR วัดจากการเคลื่อนไหวล่าสุด ซึ่งอาจจะเป็นการย้ายที่เก็บเฉย ๆ ก็ได้) โดยเส้นสีเขียวแสดงถึงกำไรเฉลี่ยและเส้นสีชมพูหมายถึงขาดทุนเฉลี่ยของผู้ที่ทำการขาย Bitcoin นั่นเอง
และอินดิเคเตอร์สุดท้ายที่หลาย ๆ คนอาจรู้จักกันดีนั่นก็คือ Fear & Greed Index ที่ใช้วัดสภาวะอารมณ์ของตลาด หรือเรียกง่าย ๆ ว่าดัชนีวัดความกลัวและโลภของตลาด Bitcoin เนื่องจากราคาของ Bitcoin นั้นมีความอ่อนไหวทางอารมณ์ค่อนข้างสูง กล่าวคือ นักลงทุนมักจะเกิดความโลภเมื่อราคาพุ่งสูงขึ้น นำไปสู่การ FOMO (Fear of missing out หรือ ‘กลัวตกรถ’ นั่นเอง) ในทางกลับกัน เมื่อตลาดกลับกลายเป็นสีแดง นักลงทุนส่วนใหญ่ก็มักจะเทขายเพื่อหนีตายโดยไม่สนใจปัจจัยอื่น ๆ เลย
ซึ่งในขณะนี้จะเห็นได้ว่าสภาวะอารมณ์ของตลาดกลับมาเป็นบวกอีกครั้งโดยเริ่มมีความโลภและกลัวตกรถเข้ามาเจือปน อย่างไรก็ตาม ควรระวังเมื่ออินดิเคเตอร์นี้ชี้อารมณ์โลภรุนแรงหรือ Extreme Greed เพราะมักจะมีการเทขายเกิดในจังหวัดที่เม่าอย่างเรา ๆ ไม่ระวังตัวเสมอ
นี่ก็เป็นสามอินดิเคเตอร์หลักที่ใช้วัดความพอใจในการลงทุนของเหล่า Bitcoin HOLDers ได้ไม่มากก็น้อย ซึ่งเราสามารถเห็นได้ว่าในเวลานี้นักลงทุนส่วนใหญ่ล้วนแต่มีกำไรและอารมณ์ของตลาดก็อยู่ในแดนบวก ซึ่งย่อมจะส่งผลให้ราคาขยับขึ้นได้ง่ายกว่าช่วงปรกติหรือช่วงที่หลายคนขาดทุนและขยาดกับการลงทุนอย่างแน่นอน
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง: Sentimental Analysis คืออะไร? มารู้จักกับปัจจัยลับที่ทุกคนมองข้าม
